Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 พฤษภาคม 2549
ททท.มุ่ง3ชาติหลักปั้นยอดจี้บัวแก้วปลดล็อควีซ่าดึงคน             
 


   
www resources

โฮมเพจ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

   
search resources

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
Tourism




ททท.เปิดผลวิจัย 3 ตลาดเป้าหมายหลัก จีน อินเดีย และ อังกฤษ ระบุชัด จีน-อินเดีย เศรษฐีใหม่ กระเป๋าตุง อัพเกรดขึ้นระดับนักท่องเที่ยวพรีเมี่ยมได้ จี้กระทรวงการต่างประเทศของไทย ปลดล็อกวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ก่อนคู่แข่งเวียดนามแซงหน้า ส่วนตลาดอังกฤษ ค่าเงินปอนด์แข็ง เป็นผลดีต่อการเดินทางท่องเที่ยว

นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการฝ่ายสินค้าท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า จากการมองหาตลาดใหม่เพื่อขยายฐานนักท่องเที่ยวที่เข้ามาประเทศไทย พบว่า ตลาด อินเดีย และจีน เป็นตลาดที่มีศักยภาพและลู่ทางการเติบโตที่ดี ซึ่งการเติบโตของ ทั้ง 3 ตลาดจะเติบโตเฉลี่ยประเทศละ 7-8 % ทุกปี โดยตลาดอังกฤษเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ที่มีวันพำนักนานกว่าชาติอื่นเฉลี่ยที่ 10-15 วัน

ดังนั้น ททท. จึงว่าจ้าง บริษัท เอคอร์น มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ รีเสิร์ช คอนซัลแทนส์ จำกัด(ประเทศไทย) ในวงเงิน 2 ล้านบาท ศึกษาหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว คือ จีน อินเดีย และ อังกฤษ เพื่อจะได้ให้เอกชนที่เกี่ยวข้องนำไปวางแผนตลาดได้ ส่วน ททท. ก็จะนำข้อมูลไปจัดทำเป็นแผนปฎิบัติการ ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้

ผลการศึกษา ของบริษัท เอคอร์น ซึ่งแยกเป็นรายตลาดพบว่า ประเทศจีนในปี 2547 ชาวจีนเดินทางมาประเทศไทย ที่ 779,070 คน มากเป็นอันดับ 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวแบ่งเป็นรายประเทศที่เดินทางเข้ามาไทยทั้งหมด โดยองค์การท่องเที่ยวโลกระบุว่า ปัจจุบันคนจีนเดินทางออกนอกประเทศปีละกว่า 30 ล้านคนและจะเพิ่มเป็น 100 ล้านคนในปี 2563

**จี้กระทรวง ตปท.ปลดล็อกวีซ่า**

ทั้งนี้นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวและชนชั้นกลางส่งผลให้เกิดทัวร์ท่องเที่ยวราคาประหยัดและเป็นที่มาของทัวร์ศูนย์เหรียญส่งภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย ดังนั้นวิธีแก้ไข คือต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ร่วมกันจัดระเบียบการดำเนินธุรกิจแบบทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีรายได้สูง เพิ่มขึ้น

ที่สำคัญคือกระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องปลดล็อกวีซ่าให้แก่คนจีนเพื่ออำนวยความสะดวกและยังเป็นการเชิญชวนให้ชาวจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้มากขึ้น เพราะจากการที่รัฐบาลจีนเพิ่มจำนวนประเทศที่อนุญาตให้คนจีนเดินทางไปได้ทำให้ชาวจีนมีเดสติเนชั่นให้เลือกเยอะขึ้น คู่แข่งของไทยก็เพิ่มขึ้นด้วย เช่นเวียดนาม ได้ปลดล็อกวีซ่าให้ชาวจีน ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น สิงคโปร์ก็มีการปลดล็อกวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวจีน ในกลุ่ม คอปอเรท อินเซนทีฟ เช่นกัน

**ปรับตัวรับนักท่องเที่ยวอินเดีย**

ด้านตลาดอินเดีย โดยองค์การท่องเที่ยวโลกคาดว่า ในปี 2553 จะเดินทางออกนอกประเทศถึง 15 ล้านคน และในอีก 10 ปีต่อไปจะเพิ่มเป็น 50 ล้านคน โดยในปี 2547 ชาวอินเดียเดินทางมาประเทศไทย 300,163 คน ส่วนใหญ่เป็นคนระดับกลาง แต่กลุ่มคนอาชีพระดับบนของอินเดียมีการเดินทางเข้าประเทศไทยในอัตราการเติบโตที่สูง

การทำตลาดอินเดียควรเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็น All in One Destination เสนอขายความหลากหลายของกิจกรรม บันเทิง ชอบปิ้ง และ อาหาร เมืองเป้าหมาย เช่น บังกาลอร์ มุมไบ เป็นต้น

**ชูประสบการณ์ใหม่รับผู้ดีอังกฤษ**

ส่วนตลาดอังกฤษที่มองว่าประเทศไทยยังมีช่องทางการตลาดในประเทศนี้ เพราะมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาส่งเสริม ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเข้มแข็งของค่าเงินปอนด์ ซึ่งเป็นค่าเงินที่แข็งที่สุดในโลก ประกอบกับชาวอังกฤษ เดินทางท่องเที่ยว เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ และนิยมที่จะเดินทางไปยังประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ประเทศไทย จึงเหมาะที่จะเป็นจุดพักของการเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ว่า เข้าจะเดินทางไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรืออินเดีย เป็นต้น

โดยปี 2547 ชาวอังกฤษเดินทางเข้ามาไทย 628,679 คน มีระยะเวลาพำนักนาน 10-15 วัน ดังนั้นสินค้าที่ควรนำเสนอได้แก่ ท่องเที่ยวแนวผจญภัย , กลุ่มความสนใจพิเศษ ,กลุ่มเพื่อผ่อนคลาย , กลุ่มเชิงวัฒนธรรม และกลุ่มประชุมสัมมนา เน้นการท่องเที่ยวเชิงลึกมากว่าการพาชมทัศนีภาพทั่วไป นอกจากนั้นยังควรให้ผู้ประกอบการยกระดับสินค้าและบริการ ให้เป็นระดับพรีเมี่ยม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us