|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ททท.เปิดผลวิจัย 3 ตลาดเป้าหมายหลัก จีน อินเดีย และ อังกฤษ ระบุชัด จีน-อินเดีย เศรษฐีใหม่ กระเป๋าตุง อัพเกรดขึ้นระดับนักท่องเที่ยวพรีเมี่ยมได้ จี้กระทรวงการต่างประเทศของไทย ปลดล็อกวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ก่อนคู่แข่งเวียดนามแซงหน้า ส่วนตลาดอังกฤษ ค่าเงินปอนด์แข็ง เป็นผลดีต่อการเดินทางท่องเที่ยว
นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการฝ่ายสินค้าท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า จากการมองหาตลาดใหม่เพื่อขยายฐานนักท่องเที่ยวที่เข้ามาประเทศไทย พบว่า ตลาด อินเดีย และจีน เป็นตลาดที่มีศักยภาพและลู่ทางการเติบโตที่ดี ซึ่งการเติบโตของ ทั้ง 3 ตลาดจะเติบโตเฉลี่ยประเทศละ 7-8 % ทุกปี โดยตลาดอังกฤษเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ที่มีวันพำนักนานกว่าชาติอื่นเฉลี่ยที่ 10-15 วัน
ดังนั้น ททท. จึงว่าจ้าง บริษัท เอคอร์น มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ รีเสิร์ช คอนซัลแทนส์ จำกัด(ประเทศไทย) ในวงเงิน 2 ล้านบาท ศึกษาหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว คือ จีน อินเดีย และ อังกฤษ เพื่อจะได้ให้เอกชนที่เกี่ยวข้องนำไปวางแผนตลาดได้ ส่วน ททท. ก็จะนำข้อมูลไปจัดทำเป็นแผนปฎิบัติการ ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้
ผลการศึกษา ของบริษัท เอคอร์น ซึ่งแยกเป็นรายตลาดพบว่า ประเทศจีนในปี 2547 ชาวจีนเดินทางมาประเทศไทย ที่ 779,070 คน มากเป็นอันดับ 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวแบ่งเป็นรายประเทศที่เดินทางเข้ามาไทยทั้งหมด โดยองค์การท่องเที่ยวโลกระบุว่า ปัจจุบันคนจีนเดินทางออกนอกประเทศปีละกว่า 30 ล้านคนและจะเพิ่มเป็น 100 ล้านคนในปี 2563
**จี้กระทรวง ตปท.ปลดล็อกวีซ่า**
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวและชนชั้นกลางส่งผลให้เกิดทัวร์ท่องเที่ยวราคาประหยัดและเป็นที่มาของทัวร์ศูนย์เหรียญส่งภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย ดังนั้นวิธีแก้ไข คือต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ร่วมกันจัดระเบียบการดำเนินธุรกิจแบบทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีรายได้สูง เพิ่มขึ้น
ที่สำคัญคือกระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องปลดล็อกวีซ่าให้แก่คนจีนเพื่ออำนวยความสะดวกและยังเป็นการเชิญชวนให้ชาวจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้มากขึ้น เพราะจากการที่รัฐบาลจีนเพิ่มจำนวนประเทศที่อนุญาตให้คนจีนเดินทางไปได้ทำให้ชาวจีนมีเดสติเนชั่นให้เลือกเยอะขึ้น คู่แข่งของไทยก็เพิ่มขึ้นด้วย เช่นเวียดนาม ได้ปลดล็อกวีซ่าให้ชาวจีน ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น สิงคโปร์ก็มีการปลดล็อกวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวจีน ในกลุ่ม คอปอเรท อินเซนทีฟ เช่นกัน
**ปรับตัวรับนักท่องเที่ยวอินเดีย**
ด้านตลาดอินเดีย โดยองค์การท่องเที่ยวโลกคาดว่า ในปี 2553 จะเดินทางออกนอกประเทศถึง 15 ล้านคน และในอีก 10 ปีต่อไปจะเพิ่มเป็น 50 ล้านคน โดยในปี 2547 ชาวอินเดียเดินทางมาประเทศไทย 300,163 คน ส่วนใหญ่เป็นคนระดับกลาง แต่กลุ่มคนอาชีพระดับบนของอินเดียมีการเดินทางเข้าประเทศไทยในอัตราการเติบโตที่สูง
การทำตลาดอินเดียควรเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็น All in One Destination เสนอขายความหลากหลายของกิจกรรม บันเทิง ชอบปิ้ง และ อาหาร เมืองเป้าหมาย เช่น บังกาลอร์ มุมไบ เป็นต้น
**ชูประสบการณ์ใหม่รับผู้ดีอังกฤษ**
ส่วนตลาดอังกฤษที่มองว่าประเทศไทยยังมีช่องทางการตลาดในประเทศนี้ เพราะมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาส่งเสริม ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเข้มแข็งของค่าเงินปอนด์ ซึ่งเป็นค่าเงินที่แข็งที่สุดในโลก ประกอบกับชาวอังกฤษ เดินทางท่องเที่ยว เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ และนิยมที่จะเดินทางไปยังประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ประเทศไทย จึงเหมาะที่จะเป็นจุดพักของการเดินทางแต่ละครั้ง ไม่ว่า เข้าจะเดินทางไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรืออินเดีย เป็นต้น
โดยปี 2547 ชาวอังกฤษเดินทางเข้ามาไทย 628,679 คน มีระยะเวลาพำนักนาน 10-15 วัน ดังนั้นสินค้าที่ควรนำเสนอได้แก่ ท่องเที่ยวแนวผจญภัย , กลุ่มความสนใจพิเศษ ,กลุ่มเพื่อผ่อนคลาย , กลุ่มเชิงวัฒนธรรม และกลุ่มประชุมสัมมนา เน้นการท่องเที่ยวเชิงลึกมากว่าการพาชมทัศนีภาพทั่วไป นอกจากนั้นยังควรให้ผู้ประกอบการยกระดับสินค้าและบริการ ให้เป็นระดับพรีเมี่ยม
|
|
|
|
|