บนเส้นทางสู่ชื่อเสียง และความมั่งคั่ง
แง่มุม ที่น่าตระหนกตกใจที่สุดเมื่อเชสแมนฮัตตันซื้อกิจการเจ.พี.มอร์แกนมูลค่า
30 พันล้านดอลลาร์ คือ กรณีซื้อกิจการดังกล่าวช่างเป็นเรื่อง ที่ธรรมดาเรื่องหนึ่ง
ทั้ง ที่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เรื่องนี้คงจะดูประหลาดเป็นที่สุด
เพราะเมื่อปี 1990 เจ.พี.มอร์แกนเป็นกิจการที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในกลุ่มธุรกิจธนาคาร และโบรกเกอร์สหรัฐฯ
ในขณะที่ปัจจุบันเชสฯ ยังคงเป็นหนึ่งในสามธนาคารชั้นนำของนิวยอร์ก
อาจเป็นเคราะห์หามยามร้ายก็ได้ เมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมาชื่อของ
"มอร์แกน" ยังหมายถึงมอร์แกน สแตนเลย์ และเจ.พี.มอร์แกนไม่ได้ติดอันดับหนึ่งในสิบของธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ
กิจการที่มีศักยภาพพอ ที่จะเข้ามาช่วยอุ้มกิจการเจ.พี.มอร์แกนได้ มีน้อยรายเต็มที
ยูบีเอส วอร์เบิร์กประกาศว่าจะเข้าซื้อเพน เว็บเบอร์ภายในฤดูร้อนนี้
และเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซีเอสเอฟบีก็ฮุบกิจการดีแอลเจ ในขณะที่เชสฯ
กำลังมองหาลู่ทางซื้อกิจการเช่นกัน โดยเล็งเป้าหมาย ที่แฮมเบรชท์ แอนด์ ควิสต์
ซึ่งเป็นบริษัทผลิตพลังงาน
หากมองผิวเผิน ดูเหมือนว่าเชสฯ และเจ.พี. มอร์แกนป็นกิจการที่เข้าคู่กันได้ดี
แต่เจ.พี.มอร์แกนไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรก เชสฯ เคยทำวิจัยหาคู่ร่วมธุรกิจมาก่อนหน้านี้
ซึ่งตัวเลือกหนึ่งเป็นกิจการมีชื่อเสียงอย่างเมอร์ริล
ดังนั้น คำพูดของวิลเลี่ยม แฮริสัน ซีอีโอของเชสฯ ที่ว่า "ผมคิดว่าการควบกิจการกับเจ.พี.มอร์แกนเป็นการควบกิจการที่ดีที่สุด"
จึงอาจเป็นการพูด ที่เกินจริงไป ยิ่งกว่านั้น เชสฯ ยังซื้อกิจการในราคาสูงมากภายหลังการควบกิจการเป็น
"เจ.พี.มอร์แกนเชส" กิจการใหม่จึงยังห่างไกลจากบริษัทชั้นนำอย่างโกลด์แมน
ซาคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ ในแง่ของการอันเดอไรต์หุ้น
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่แฮริสันต้องการจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง "คิดว่าภายในระยะเวลาอีกไม่นานนัก
เราจะเป็นผู้นำในด้านตลาดทุน" ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของมาร์ค เชบไพโรรองประธานกรรมการเชสฯ
ที่ว่า "ในเดือนพฤศจิกายนนี้เราจะได้ทำธุรกิจบางอย่างร่วมกัน"
ความคิดนี้อาจจะถูกเพราะเจ.พี.มอร์แกนเชส จะกลายเป็นโฮลดิ้งคอมปะนีธุรกิจธนาคาร ที่ใหญ่อันดับสามของสหรัฐฯ
มีมูลค่าสินทรัพย์ถึง 660 พันล้านดอลลร์ โดยมีจุดแข็งสำคัญๆ อาทิ เป็นอันดับสามในเชิงการจัดการสินทรัพย์
เป็นอันดับสี่ของกิจการที่มีการควบกิจการระดับโลก และเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อภาคธุรกิจในระดับชั้นนำ
ที่สำคัญเชสฯ ได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีความเชี่ยวชาญทางธุรกิจอย่างแท้จริง
"ผลงานเดิมก็มีอยู่แล้ว" เดวิด เบอรี่ หัวหน้าส่วนวิจัยของคีฟ บรูเยตต์ แอนด์
วูดส์บอก ผลงาน ที่น่าภูมิใจอย่างหนึ่งเห็นจะเป็นกรณีการซื้อกิจการมอร์แกน ซึ่งใช้ชื่อกิจการใหม่โดยให้ขึ้นต้นด้วยเจ.พี.มอร์แกน ซึ่งทำให้ฝ่าย ที่ถูกซื้อกิจการรู้สึกเหมือนกับเป็นผู้ร่วมธุรกิจกันมากกว่าเป็นฝ่ายถูกซื้อ
แต่นี่ก็เป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เพราะยังมีงานใหญ่รอให้ทำอีกมาก
ดัง ที่ จิมมี่ ลี รองประธานกรรมการของเชสฯ กล่าวในการประชุมพนักงานเมื่อเร็วๆ
นี้ว่า "เรากำลังจะโตขึ้น ดีขึ้น และมีขีดความสามารถ ที่มากขึ้นสำหรับความรัก"
เรียบเรียงจากนิตยสารฟอร์จูน