Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 พฤษภาคม 2549
ต่างชาติทิ้งหุ้นไทย 4 วัน 1.2 หมื่นล้าน             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยทรุดต่อเนื่อง ดัชนีรูด 14 จุด ต่างชาติทิ้งหุ้นไทยอีกเกือบ 5 พันล้านบาท ทำให้ยอดรวมขายสิทธิ 4 วัน 1.2 หมื่นล้านบาท เหตุกังวลเฟดปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ห่วงต่างชาติขาย เชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ "วิจิตร สุพินิจ" แอบหวังเบียร์ช้างกลับเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยในอนาคต ด้านนักวิเคราะห์ แนะปรับกลยุทธ์ทิ้งหุ้นขนาดใหญ่ หันถือเงินสดแทนหรือลงทุนหุ้นขนาดเล็ก หลังการเมืองยังคลุมเครือ-เศรษฐกิจไม่ฟื้น ขณะที่หุ้นแถบเอเชียก็หล่นเป็นแถว

ภาวะการซื้อขายหุ้นวานนี้ (18 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันก่อน โดยในระหว่างวันได้ปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ 743.96 จุด ติดลบไปกว่า 18 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นและปิดที่ 748.30 จุด ต่อมาได้มีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นและมาปิดที่ 748.30 จุดลดลง 14.06 จุดหรือ 1.84% มูลค่าการซื้อขาย 20,021.06 ล้านบาท

ส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่า นักลงทุนต่างประเทศยังเทขายอย่างต่อเนื่อง โดยขายสุทธิ 4,984.61 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 3,474.69 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,509.92 ล้านบาท ทำให้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์รวมทั้งสิ้น 4 วัน (15 - 18 พ.ค.) คิดเป็นมูลค่า 12,776.59 ล้านบาท

**ตลาดไม่ห่วงต่างชาติขายหุ้น

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาวะตลาดที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้เป็นการปรับตัวตามตลาดภูมิภาคและปรับตัวตามตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องที่ต้องกังวล ขณะที่การขายหุ้นทิ้งของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงการปรับพอร์ตเท่านั้น

"มองว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ ยังไม่ย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดเกิดใหม่ในแถบภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยด้วย เนื่องจากราคาหุ้นยังถูกอยู่ แม้จะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศ แต่ปัจจัยภายนอกด้านอื่นๆ ก็มีผลผลกระทบกับตลาดอื่นๆ เช่นกัน"

**วิจิตรชี้เบียร์ช้าง-RRC

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงไม่น่าจะเกิดจากการถอนเงินเพื่อไปลงทุนในบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือเบียร์ช้าง และบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC แต่น่าจะมาจากปัจจัยภายนอกทั้งความกังกลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ซึ่งได้กดดันให้ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวลงเช่นกัน

ส่วนการเทขายของนักลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.ถึงปัจจุบัน น่าจะเกิดจากปัจจัยการปรับพอร์ตขายทำกำไรออกมาบางส่วน

อย่างไรก็ตาม มองว่าในอนาคตบริษัทไทยเบฟเวอเรจ น่าจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วยในลักษณะการจดทะเบียน 2 ตลาด ทั้งตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ดูโอ ลิสติ้ง) ซึ่งขณะนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการหารือกับบริษัทต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญในการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มมาร์เกตแคปของตลาดหุ้นไทยให้เพิ่มขึ้นและจะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยเชื่อว่าบริษัทไทยเบฟเวอเรจเพียงแต่คงจะรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น

**ลุ้น RRC เข้ามาสร้างสีสัน

ขณะเดียวกัน หลังจากที่โรงกลั่นน้ำมันระยอง เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยแล้วน่าจะช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง และน่าจะเป็นตัวนำร่องหุ้นจองตัวอื่นๆ ที่ขณะนี้รอจังหวะและภาวะตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวยหลายบริษัท และดึงนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง

**การเมืองคลุมเครือ-ศก.ไม่ฟื้น

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทีเอสอีซี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงเกิดจากความกังวลของนักลงทุนต่างประเทศต่อการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดอีกรอบหนึ่ง หลังจากภาวะเงินเฟ้อสูงกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ จึงส่งผลต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง

ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังคลุมเครือ รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ดีขึ้น และหากมีการปรับประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายรอบ อาจทำให้ตลาดรับรู้ปัจจัยลบหลายครั้งอาจส่งผลให้ดัชนีปรับลงเป็นระยะๆอย่างไรก็ตามหากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลงมาที่ 724-730 จุดซึ่งเป็นแนวรับที่หนาแน่น ก็น่าจะทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับเข้ามาซื้อหุ้นอีกครั้ง

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบซึ่งมีโอกาสที่จะปรับตัวลงมากกว่าขึ้น หรืออาจจะมีการดีดตัวกลับบ้างแล้วขายเก็งกำไรออก โดยมีระดับแนวรับอยู่ที่740 จุด และระดับแนวต้านอยู่ที่ 760 จุด

"ช่วงนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนปรับลดพอร์ตการลงทุนโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่มีอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์" นางสาวสุภากร กล่าว

**ทั่วโลกปรับพอร์ตถือเงินสดเพิ่ม

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาฝ่ายงานวิจัย บล. พัฒนสิน กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั้งภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกมีการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อถือเงินสดเพิ่มขึ้น และความกังวลของนักลงทุนต่อท่าทีของเฟดที่อาจจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยบล.พัฒนสิน ได้คาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีการค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะประกาศในช่วงปลายสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้า อาจจะขาดดุลทั้ง 2 บัญชี รวมทั้งสภาพคล่องของตลาดที่ลดลงจาก หุ้นจองบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง, บริษัทไทยเบฟเวอเรจ และธนาคารไชน่าแบงก์ ที่กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

อย่างไรก็ตามห ากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องต่อไป จนถึง 720 จุด น่าจะทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้งเพราะตลาดจะมีแนวโน้มที่ขาขึ้น(Upside)ถึง10%ถ้าเป้าหมายดัชนีตลาดอยู่ที่ 800 จุด และเมื่อรวมผลตอบแทนจากการปันผลซึ่งอยู่ที่ 4% จะทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้นขึ้นมาสูงถึง14%ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้น่าจะเป็นการปรับฐานเพื่อการหาดัชนีดต่ำสุด โดยมีระดับแนวรับอยู่ที่728-740จุด และระดับแนวต้านอยู่ที่760

"ในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มบลูชิพ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเชื่อมโยงกับดอกเบี้ย และให้ไปซื้อหุ้นบริษัทที่มีรายได้แน่นอน เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม กลุ่มโรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์แบบให้เช่า นิคมอุตสาหกรรม และหุ้นขนาดเล็กบางตัว" นายถนอมศักดิ์กล่าว

**แนะ ทิ้งหุ้นใหญ่ถือเงินสดแทน

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยปรับพอร์ตการลงทุนถือเงินสดมากขึ้น

"ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางของสหรัฐประกาศ สูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะสูงขึ้นได้ และทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากขึ้นด้วย"นายสุกิจ กล่าว

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะเป็นการปรับฐานและมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่า2-3วันที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนได้รับรู้ปัจจัยลบโดยเฉพาะเฟด ทำให้การเปลี่ยนแปลงของเฟดมีอิทธิพลต่อดัชนีตลาดหุ้นลดลง โดยมีระดับแนวรับอยู่ที่740จุดและระดับแนวต้านอยู่ที่755จุด

"ในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตลงทุน โดยลดหุ้นขนาดใหญ่ลง และถือหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้นหรือถือเป็นเงินสดแทน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศลงทุนหุ้นขนาดใหญ่เป็นส่วนมาก และขณะนี้ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสูงทำให้หุ้นที่มีขนาดใหญ่มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน"นายสุกิจกล่าว

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า การที่ตลาดปรับตัวลดลงแรง เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศได้ขายสุทธิ เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในสหรัฐฯเนื่องจากมีความกังวลว่าเฟดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หากว่าดัชนีผู้บริโภคเดือนเมษายนมีตัวเลขสูงเกินกว่าที่คาดไว้

ทั้งนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลดลงตาม และมีแรงขายต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดปรับตัวลดลงมาทดสอบแนวรับที่ 740-745 จุด สำหรับปัจจัยภายในประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการปรับลดลงในครั้งนี้มากนักด้านราคาน้ำมันยังอ่อนค่าไม่สูงเกิน 70 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งยังส่งผลดีให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นได้อยู่

"การที่ตลาดปรับตัวลดลง และเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก หรือเรื่องที่น่าตื่นตระหนกตกใจเพราะตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมถึงกลางเดือนพฤษภาคมนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเข้ามาสูงถึงกว่า 1.1 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาที่มีการขายออกมารวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ไม่ถึงว่าเป็นจำนวนที่มาก"

**หุ้นแถบเอเชียก็หล่นเป็นแถว

สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า ราคาหุ้นของตลาดอื่นๆ ในแถบเอเชีย ถูกกระหน่ำเทขายกันอีกรอบเมื่อวานนี้ หลังจากกระเตื้องได้แค่วันเดียว เนื่องจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ฉุดให้วอลล์สตรีทย่ำแย่ไปในวันพุธ อีกทั้งเพิ่มความหวาดผวาว่า เมื่อเงินเฟ้อยังขยับสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ก็มีหวังต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก

ตามประกาศของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯในวันพุธ ดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 0.6% ซึ่งสูงกว่าที่คาดหมายกัน แถมดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน ซึ่งคือตัดเอาราคาสินค้าที่วูบวาบอย่างอาหารและพลังงานออกไป ก็ยังคงสูงขึ้น 0.3% จากที่นักวิเคราะห์เก็งกันทั่วไปว่าน่าจะอยู่แค่ 0.2%

ตลาดซึ่งกำลังหวั่นไหวว่าเฟดจะขยับดอกเบี้ยต่ออยู่แล้ว จึงถือข่าวนี้เป็นข่าวร้าย และฉุดให้ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวันพุธ โดยตกลงไป 1.88% หรือ 214.28 จุด ซึ่งถือเป็นวันที่ตัวเลขดัชนีตกเยอะที่สุดในรอบ 3 ปี

เมื่อถึงคิวตลาดแถบเอเชียเปิดทำการ ปัจจัยนี้ก็พลอยทำให้หุ้นในภูมิภาคนี้แดงเถือกเป็นแถว โดยดัชนีหุ้นนิกเกอิของโตเกียวหล่นลง 1.35%, ดัชนีหุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกงก็หายไป 2.10%, ดัชนีหุ้นสำคัญของตลาดโซลติดลบ 2.59% ขณะที่ดัชนีหุ้นสำคัญของตลาดมุมไม(บอมเบย์)ในอินเดียก็หล่นฮวบถึง 6.76%

ฟูมิยูกิ นาคานิชิ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนแห่งบริษัทหลักทรัพย์ เอสเอ็มบีซี เฟรนด์ ซีเคียวริตีส์ ของโตเกียว กล่าวว่า ไม่มีข้อสงสัยเลยที่การไหลรูดของวอลล์สตรีท อยู่เบื้องหลังการติดลบดำดิ่งของหลักทรัพย์ญี่ปุ่น เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯซึ่งเพิ่มแรงกว่าคาดหมาย เป็นการฟื้นคืนกระแสกะเก็งที่ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด อาจจะขยับขึ้นดอกเบี้ยกันอีกรอบในการประชุมคราวต่อไปเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อพยายามสกัดเงินเฟ้อไม่ให้ไปแรง

กระแสเทขายหุ้นในเอเชียนั้น เริ่มขึ้นอย่างน่าหวั่นไหวตั้งแต่วันศุกร์(12)ที่แล้ว ภายหลัง เบน เบอร์นันกี ประธานเฟด ล้มเหลวไม่สามารถส่งสัญญาณอันชัดเจนได้ว่า วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นในปัจจุบันกำลังใกล้จะยุติแล้วหรือยัง

การเทขายยิ่งเร่งทวีเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลงอย่างฮวบฮาบ ซึ่งเห็นกันว่าจะส่งผลให้การส่งออกของแถบเอเชียย่ำแย่ลง อีกทั้งราคาพวกน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ก็ดำดิ่งหลุดจากระดับสูงสุดเป็นสถิติ จึงยิ่งสร้างความหวั่นใจขึ้นไปอีก เนื่องจากเห็นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ราคาซึ่งพุ่งลิ่วๆ ได้ไปถึงจุดที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เพียงเท่านั้น การตกวูบของสินค้าโภคภัณฑ์ในเวลาเดียวกับตลาดหุ้นแถบเอเชีย ยังมองกันว่า พวกนักลงทุนสถาบันระดับโลก กำลังเทขายทรัพย์สินที่พวกเขาถือว่ามีความเสี่ยงสูง อันได้แก่สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้นแถบเอเชียนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เพลเยอร์ในตลาดเอเชียหลายคนยังมองโลกในแง่ดี อาทิ มิตสึชิเกะ อาคิโนะ หัวหน้าผู้จัดการกองทุนแห่งบริษัทจัดการการลงทุน อิชิโยชิ อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ ของโตเกียวกล่าวว่า หุ้นญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ยังไม่ใช่การกระหน่ำขายแบบไม่มีหูรูด เพราะเมื่อดัชนีนิกเกอิลดลงต่ำกว่าระดับจิตวิทยา 16,000 ก็สามารถดึงดูดให้พวกนักลงทุนกลับเข้ามาช้อนซื้อของถูก จนปิดที่ระดับ 16,087.18

นอกจากนั้นในตลาดแถบยุโรป ซึ่งหุ้นในอังกฤษ, ฝรั่งเศส, และเยอรมนี ต่างหล่นฮวบกว่า 2.5% ในวันพุธ พอถึงช่วงเช้าวานนี้ก็อยู่ในอาการพอประคับประคองตัวได้มากขึ้นแล้ว โดยที่ดัชนีฟุตซี่ 100 ของลอนดอนไหลลง 0.28%, ดัชนีแดกซ์ 30 ของแฟรงเฟิร์ต ลบ 0.04% และดัชนีซีเอซี 40 ของปารีส บวกขึ้น 0.22%

เช่นเดียวกับราคาในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยที่ทองคำตลาดจรที่ลอนดอน ลดต่ำลงราว 2 ดอลลาร์อยู่ที่ออนซ์ละ 689 ดอลลาร์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us