"บิ๊กศุภาลัย" ไม่หวั่นเศรษฐกิจซบ เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 7-8 โครงการ จากแผนเดิมเปิดแค่ 6 โครงการ หวังสร้างยอดขายปีนี้ 8,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมงบซื้อที่ดินเพิ่ม 1,500 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการปริญสิริ กำไรวูบ 27% อ้างโครงการเปิดใหม่น้อย ด้านเมโทรสตาร์ ไม้น้อยหน้าลดทุน 34 ล้านบาท เหตุถูกหักภาษี
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มเป็น 7-8 โครงการ จากเดิมที่วางเป้าเปิดโครงการใหม่ 6-7 โครงการ โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 57% บ้านเดี่ยว 35% และทาวน์เฮาส์ 8%
ส่วนงบซื้อที่ดินตั้งไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยทางบริษัทฯ มีความสนใจในพื้นที่หลายทำเล ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีเจ้าของที่ดินหลายรายเข้ามาติดต่อเสนอขาย ซึ่งบริษัทฯ จะพิจารณาจากความเหมาะสมเป็นหลัก โดยคาดว่างบซื้อที่ดินดังกล่าวจะสามารถซื้อที่ดินได้จำนวน 6-7 แปลง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต ในปัจจุบันบริษัทฯ มีที่ดินในมือรอการพัฒนาประมาณ 196 ไร่ ประกอบด้วยที่ดินในย่านบางไทร 22 ไร่ ภาษีเจริญ 8 ไร่ และออร์คิด พาร์ค พระราม 2 จำนวน 166 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่ทยอยพัฒนาโครงการ
ด้านนางอัจฉรา ตั้งมติธรรม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัยฯ กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปี 2549 อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 7,380 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) อยู่ที่ประมาณ 43% โดยทั้งปีทางบริษัทฯ จะพยายามรักษากำไรขั้นต้นดังกล่าวให้ได้ 40% เนื่องจากมีบ้านพร้อมขายซึ่งเป็นต้นทุนเก่าอยู่ในมือ และมีการตกลงกับผู้รับเหมาก่อสร้างในอัตราค่าก่อสร้างที่คงที่ แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นในอนาคตก็ตาม
ด้านบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งผลการดำเนินงานของสบริษัทในไตรมาสแรก กำไรสุทธิ 38 ล้านบาท ลดลง 27 .11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 52.27 ล้านบาท โดยบริษัทได้ชี้แจงว่า สาเหตุมาจากในไตรมาส 1 ของปีนี้ฝ่ายบริหารโครงการได้นำระบบการตรวจสอบคุณภาพงานก่อสร้างมาใช้ก่อนการนัดลูกตรวจรับบ้าน เพื่อให้ลูกค้าได้บ้านที่มีคุณภาพ จึงมีผลกระทบทำให้ยอดรับรู้รายได้ขายล่าช้าออกไป ขณะเดียวกันบริษัทฯ เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ จึงมีผลให้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดและส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2548 ที่ไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามจำนวนโครงการที่พัฒนาเพิ่มขึ้นในปี 2549 จำนวน 4 โครงการเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2548
นายวีระ บูรพชัยศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (METRO) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 / 2549 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 161.01 ล้านบาท ลดลง 2.26% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายรวมของไตรมาสแรก จำนวน 158.84 ล้านบาท โดยบริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน 55.56 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย 34.98% และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้นิติบุคคล จำนวน 41.93 ล้านบาท คิดเป็น 26.04% ซึ่งในไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการโอนโครงการสีลม แกรนด์เทอเรสจำนวน 71.72 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้การดำเนินงานหลังดอกเบี้ยและภาษีเป็นขาดทุนสุทธิจำนวน 34.35 ล้านบาทหรือคิดเป็น 21.33% มีขาดทุนต่อหุ้นเท่ากับ 0.08 บาท
อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่สอง บริษัทไม่มีภาระด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้และเชื่อมั่นว่าผลประกอบการของบริษัทในปี 2549 จะทำได้ตามที่คาดการณ์ไว้คือประมาณ 1,500 ล้านบาท จากโครงการที่กำลังเปิดขายและสามารถดำเนินการโอนได้ภายในสิ้นปี ส่วนแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในปีนี้ บริษัทได้เตรียมงบประมาณส่งเสริมการขายประมาณ 20 ล้านบาท
สำหรับโครงการเซ็นต์หลุยส์ แกรนด์เทอเรส ช่วงปิดโครงการปลายปีและ 5 ล้านบาทสำหรับโครงการบ้านรวิภา สุขุมวิท 103 สำหรับทางด้านปัจจัยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและส่งผลให้ราคาวัสดุขยับสูงขึ้นตาม อาจมีผลกระทบต่อต้นทุนบ้าง แต่บริษัทยังสามารถควบคุมและดูแลต้นทุนให้เป็น
|