ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่นโตสวนกระแสปัจจัยลบ เผยยอดรายได้ไตรมาสแรกทะลุเป้ากว่า 871 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจรับจ้างผลิตที่มาแรงโตถึง29% จากการปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งเรื่องราคาและทำสัญญาแบบระยะยาว รุกเต็มสูบไตรมาส 2 เตรียมเปิดร้านขนาดใหญ่ 4 แห่งที่เซ็นทรัล เวิลด์และนำเข้าแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิง พร้อมผุดบริการใหม่รับเช่าเครื่องบิน คาดสิ้นปีนี้ยอดขายโต 9%วาดฝันภายใน3 ปียอดขายกว่า 6,000 ล้านบาท
นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง การศึกษาและตัวแทนจำหน่ายเครื่องบิน ที่เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อเดือน มกราคม เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยดี และประสบปัญหามาก อาทิ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มหรือการเมืองที่ปั่นป่วน เป็นต้น ส่งผลให้ลูกค้าไม่อยากใช้จ่ายเงินในสินค้าที่ไม่จำเป็น ในส่วนของบริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบตรงนี้ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับกลางถึงบน โดยในส่วนค่าใช้จ่ายที่ซื้อสินค้าของลูกค้าไม่ได้ลดลงแต่จำนวนชิ้นอาจลดลงเล็กน้อย
โดยยอดรายได้ไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราการเติบโตขึ้น 38% หรือคิดเป็นมูลค่าเงิน 871 ล้านบาท และมีกำไรเพิ่มขึ้น 138% หรือประมาณ 102 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้แบ่งออกเป็นกลุ่มธุรกิจรีเทลเป็นหลัก ได้แก่ เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่น คิดเป็นสัดส่วน 52% ของยอดรายได้ , กลุ่มรับจ้างผลิต บริษัทนวศรี แมนูแฟคเจอริ่ง คิดเป็น 42% และที่เหลือเป็นธุรกิจการศึกษาและอื่นๆ เช่น ตัวแทนจำหน่ายเครื่องบิน
ทั้งนี้การเติบโตมาจากธุรกิจรับจ้างผลิตของโรงงานนวศรีฯที่มีอัตราการเติบโตขึ้นสูงถึง 29% จากปกติโตเฉลี่ยปีละ 2-5% เพราะบริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์ อาทิ การติดต่อรับจ้างผลิตกับลูกค้าทำแบบระยะยาวขึ้น รวมถึงการปรับราคาในการรับจ้างผลิตให้ราคาถูกลง และการที่บริษัทฯไม่มีนโยบายทำสินค้าเฮาส์แบรนด์แข่งกับลูกค้า เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิต 140 ล้านชิ้นต่อปีหรือประมาณ 60-80% โดยลูกค้าหลักมี 5 รายใหญ่ เช่น ยูนิลีเวอร์,เอส.ซี. จอห์นสัน แอนด์ ซัน,คอลเกต-ปาล์มโอลีฟและไลออน เป็นต้น ล่าสุดกำลังเล็งลูกค้าใหม่อีก 2 ราย
ส่วนธุรกิจแฟชั่นในช่วงไตรมาสแรกพบว่ามีอัตราการโต 16% จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 12% เนื่องจากมีการปรับปรุงร้านค้า,ปรับกลยุทธ์ด้านราคาลงเฉลี่ย10%, การทำโปรโมชั่นและอัพเดทข่าวใหม่อยู่เสมอ โดยแบรนด์ที่ทำรายได้หลัก คือ เอสปรี คิดเป็น 60% รองมาเป็นบอสสินี 25%
ขณะที่ธุรกิจเครื่องสำอางที่มี 4 แบรนด์ ได้แก่ เรด เอิร์ธ,ลาเนจ,บลูมและเอเลมิส มีอัตราการโต 9% เป็นเพราะการเปิดตัวสินค้าใหม่และขยายร้านค้าเพิ่ม ส่วนธุรกิจการศึกษาที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทม์ไลฟ์และเวิลด์ บุ๊คพบว่าเติบโตสูงสุด 56% เนื่องจากมีการขยายช่องทางขายใหม่และจัดสัมมนามากขึ้น
งัดกลยุทธ์เด็ดรับไตรมาส2
นายแมทธิว กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสองมองว่าตลาดจะคงที่ ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วงไตรมาส2 นี้บริษัทฯเตรียมเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ 4 แห่งที่เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า ได้แก่ เอสปรี,ทิมเบอร์แลนด์,sinequanone และแบรนด์ใหม่ในกลุ่มชั่นเสื้อผ้าผู้หญิง นอกจากนี้มีแผนเปิดตัวธุรกิจบริการรับเช่าเครื่องบินในงานต่างๆ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงเดือนก.ค.นี้ รวมถึงการทำตลาดและขยายสาขาให้กับธุรกิจหลักที่มีอยู่
“สิ่งที่เป็นห่วงในปีนี้ คือ ธุรกิจรีเทล เนื่องจากความไม่แน่นอนในเรื่องต่างๆ รวมถึงการที่ห้างเปิดมากขึ้น หรือไม่แน่ใจการใช้จ่ายของผู้บริโภค ส่วนมหกรรมบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นมองว่าคนจะกลับบ้านเร็วขึ้นเพื่อดูบอลและส่งผลให้คนเดินห้างน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย ส่วนกลุ่มผู้หญิงก็ยังคงเดินชอปปิ้งอยู่”
บริษัทฯตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมียอดรายได้กว่า 6,000 ล้านบาท จากเดิมที่มียอดรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท โดยจะเน้นให้บริษัทฯมีการเติบโตที่เร็วกว่าตลาดรวม เนื่องจากเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างพาวเวอร์และเตรียมคนมากขึ้น ขณะที่ยอดรายได้ทั้งปีคาดว่าจะเติบโตขึ้น 9% จากปีที่แล้ว
|