Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน16 พฤษภาคม 2549
ไมเนอร์เดินถูกทางโตสวนกระแส เน้นราคาถูก-สัญญายาวปั๊มยอดพุ่ง             
 


   
search resources

ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น, บมจ.
แมทธิว กิจโอธาน
Commercial and business




ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่นโตสวนกระแสปัจจัยลบ เผยยอดรายได้ไตรมาสแรกทะลุเป้ากว่า 871 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจรับจ้างผลิตที่มาแรงโตถึง29% จากการปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งเรื่องราคาและทำสัญญาแบบระยะยาว รุกเต็มสูบไตรมาส 2 เตรียมเปิดร้านขนาดใหญ่ 4 แห่งที่เซ็นทรัล เวิลด์และนำเข้าแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิง พร้อมผุดบริการใหม่รับเช่าเครื่องบิน คาดสิ้นปีนี้ยอดขายโต 9%วาดฝันภายใน3 ปียอดขายกว่า 6,000 ล้านบาท

นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง การศึกษาและตัวแทนจำหน่ายเครื่องบิน ที่เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อเดือน มกราคม เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยดี และประสบปัญหามาก อาทิ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มหรือการเมืองที่ปั่นป่วน เป็นต้น ส่งผลให้ลูกค้าไม่อยากใช้จ่ายเงินในสินค้าที่ไม่จำเป็น ในส่วนของบริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบตรงนี้ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับกลางถึงบน โดยในส่วนค่าใช้จ่ายที่ซื้อสินค้าของลูกค้าไม่ได้ลดลงแต่จำนวนชิ้นอาจลดลงเล็กน้อย

โดยยอดรายได้ไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราการเติบโตขึ้น 38% หรือคิดเป็นมูลค่าเงิน 871 ล้านบาท และมีกำไรเพิ่มขึ้น 138% หรือประมาณ 102 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้แบ่งออกเป็นกลุ่มธุรกิจรีเทลเป็นหลัก ได้แก่ เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่น คิดเป็นสัดส่วน 52% ของยอดรายได้ , กลุ่มรับจ้างผลิต บริษัทนวศรี แมนูแฟคเจอริ่ง คิดเป็น 42% และที่เหลือเป็นธุรกิจการศึกษาและอื่นๆ เช่น ตัวแทนจำหน่ายเครื่องบิน

ทั้งนี้การเติบโตมาจากธุรกิจรับจ้างผลิตของโรงงานนวศรีฯที่มีอัตราการเติบโตขึ้นสูงถึง 29% จากปกติโตเฉลี่ยปีละ 2-5% เพราะบริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์ อาทิ การติดต่อรับจ้างผลิตกับลูกค้าทำแบบระยะยาวขึ้น รวมถึงการปรับราคาในการรับจ้างผลิตให้ราคาถูกลง และการที่บริษัทฯไม่มีนโยบายทำสินค้าเฮาส์แบรนด์แข่งกับลูกค้า เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิต 140 ล้านชิ้นต่อปีหรือประมาณ 60-80% โดยลูกค้าหลักมี 5 รายใหญ่ เช่น ยูนิลีเวอร์,เอส.ซี. จอห์นสัน แอนด์ ซัน,คอลเกต-ปาล์มโอลีฟและไลออน เป็นต้น ล่าสุดกำลังเล็งลูกค้าใหม่อีก 2 ราย

ส่วนธุรกิจแฟชั่นในช่วงไตรมาสแรกพบว่ามีอัตราการโต 16% จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 12% เนื่องจากมีการปรับปรุงร้านค้า,ปรับกลยุทธ์ด้านราคาลงเฉลี่ย10%, การทำโปรโมชั่นและอัพเดทข่าวใหม่อยู่เสมอ โดยแบรนด์ที่ทำรายได้หลัก คือ เอสปรี คิดเป็น 60% รองมาเป็นบอสสินี 25%

ขณะที่ธุรกิจเครื่องสำอางที่มี 4 แบรนด์ ได้แก่ เรด เอิร์ธ,ลาเนจ,บลูมและเอเลมิส มีอัตราการโต 9% เป็นเพราะการเปิดตัวสินค้าใหม่และขยายร้านค้าเพิ่ม ส่วนธุรกิจการศึกษาที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทม์ไลฟ์และเวิลด์ บุ๊คพบว่าเติบโตสูงสุด 56% เนื่องจากมีการขยายช่องทางขายใหม่และจัดสัมมนามากขึ้น

งัดกลยุทธ์เด็ดรับไตรมาส2

นายแมทธิว กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสองมองว่าตลาดจะคงที่ ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วงไตรมาส2 นี้บริษัทฯเตรียมเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ 4 แห่งที่เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า ได้แก่ เอสปรี,ทิมเบอร์แลนด์,sinequanone และแบรนด์ใหม่ในกลุ่มชั่นเสื้อผ้าผู้หญิง นอกจากนี้มีแผนเปิดตัวธุรกิจบริการรับเช่าเครื่องบินในงานต่างๆ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงเดือนก.ค.นี้ รวมถึงการทำตลาดและขยายสาขาให้กับธุรกิจหลักที่มีอยู่

“สิ่งที่เป็นห่วงในปีนี้ คือ ธุรกิจรีเทล เนื่องจากความไม่แน่นอนในเรื่องต่างๆ รวมถึงการที่ห้างเปิดมากขึ้น หรือไม่แน่ใจการใช้จ่ายของผู้บริโภค ส่วนมหกรรมบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นมองว่าคนจะกลับบ้านเร็วขึ้นเพื่อดูบอลและส่งผลให้คนเดินห้างน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย ส่วนกลุ่มผู้หญิงก็ยังคงเดินชอปปิ้งอยู่”

บริษัทฯตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมียอดรายได้กว่า 6,000 ล้านบาท จากเดิมที่มียอดรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท โดยจะเน้นให้บริษัทฯมีการเติบโตที่เร็วกว่าตลาดรวม เนื่องจากเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างพาวเวอร์และเตรียมคนมากขึ้น ขณะที่ยอดรายได้ทั้งปีคาดว่าจะเติบโตขึ้น 9% จากปีที่แล้ว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us