ศุภาลัยสวนกระแสตลาดซบ โชว์รายได้การขายอสังหาฯไตรมาส1 ปี 49 โตถึง 188.50% หรือกว่า 1,200 ล้านบาท กำไรพุ่ง 353 ล้านบาท ได้รับอานิสงส์โครงการอาคารชุดพักอาศัย 3 โครงการ พร้อมมีบ้านที่รอส่งให้ลูกค้ากว่า 7,000 ล้านบาท ด้านเคปเปลฯบริษัทสัญชาติสิงคโปร์กำไรจิ๊บจ๊อยแค่ 4 แสนกว่าบาท ส่วนค่ายเค.ซี.ชี้รายได้ลด เหตุแบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ ซ้ำราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย บีบลูกค้าชะลอซื้อบ้าน
นางวารุณี ลภิธนานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและบัญชี บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส1ปี 49 ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 1,271.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 48 จำนวน 830.48 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 188.50% เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนบ้าน 555.95 ล้านบาท และการรับรู้รายได้จากการขายอาคารชุดใหม่ 3 โครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จตามเกณฑ์การรับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่สำเร็จ จำนวน 715.10 ล้านบาท
โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 353.02 ล้านบาท สูงขึ้นจากไตรมาสแรกของปีก่อน 273.95 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 346.47% สาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้น 115.38 ล้านบาท รับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จของโครงการอาคารชุดพักาอาศัย 3 โครงการ จำนวน 715.10 ล้านบาท อัตราต้นทุนขายอสังหาฯต่อรายได้จากการขายอสังหาฯยังคงอยู่ระดับเดียวกับปีก่อนคือ 57% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้เท่ากับ 11.26% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 17.90%
ขณะที่ภาระดอกเบี้ยจ่ายกลับลดลงเหลือเพียง 4.76 ล้านบาท ต่างกับงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 6.51 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยมีส่วนหนี้สินรวมต่อทุนลดลงจากปีก่อนที่ระดับ 1.01 เท่า มาเหลือเพียง 0.87 เท่าในไตรมาสนี้ อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 58.24% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 67.61% เนื่องจากบริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญรุ่นที่ 2,3 และESOP
นอกจากนี้ ณ 31 มี.ค.49 บริษัทยังมียอดขายที่ยังไม่ได้ส่งมอบบ้านให้แก่ลูกค้าจำนวนสูงถึง 7,001 ล้านบาท โดยจะสามารถทยอยส่งมอบได้ในอีก 9 เดือนข้างหน้า จำนวน 3,459 ล้านบาท ส่วนที่เหลือสามารถส่งมอบได้ในปี 2550และปีถัดไป
นายวอง ยิว ซอง กรรมการบริหารบริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติจากประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 492,789.48 บาท เปลี่ยนแปลงจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 824,798.68 บาท สาเหตุหลักเกิดจาก บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการขายบ้านและที่ดินในโครงการเพิ่มขึ้น
ขณะที่ค่ายเค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) โดยนายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 245.66 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 52.57 ล้านบาท ลดลง 17.62% สาเหตุจากความเข้มงวดของการให้สินเชื่อของธนาคาร ทำให้ผู้ซื้อบ้านกู้เงินธนาคารไม่ได้ และผลจากราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น ทำให้ผู้ซื้อบ้านชะลอการตัดสินใจ โดยบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ 35.14 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 50.49 ล้านบาท หรือลดลง 20% แต่บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรเบื้องต้นไว้ที่ระดับ 38.65% และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายที่ 17.22% ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
นายปรีชา ถิรกิจพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปรีชากรุ๊ปฯ กล่าวว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.63 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 5.97 ล้านบาท สาเหตุมาจากบริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจำนวน 3.33 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนและในปี 49 ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้นจำนวน 4.27 ล้านบาท
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในเครือตระกูลชินวัตร แจ้งผลประกอบการ โดยไตรมาสแรกบริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 26.98 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้ค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้น 7.02 ล้านบาท คิดเป็น 3.94% แต่ตัวเลขผลกำไรสุทธิของบริษัทลดลงจำนวน 28.98 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 29.35%
ส่วนบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ มีรายได้เท่ากับ 2,084.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 424.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.6% มีกำไรสุทธิจำนวน 369.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.1%
|