|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
UMS เผยไตรมาสแรกปีนี้ใกล้เคียงกับไตรมาสสุดท้ายปี 48 มั่นใจไตรมาสสองความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มและเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าแต่ละรายทะยอยเปลี่ยนเตาบอยเลอร์ใช้เวลาต่างกัน คาดดันรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ระดับ 30 % และจะรักษากำไรขั้นต้น 25-30 % ขณะที่ปีนี้ลูกค้าเกินเป้า 100 รายแน่
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่งเซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) (UMS ) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ของบริษัทใกล้เคียงกับไตรมาสสุดท้ายของปี 48 แต่ต่ำกว่าไตรมาสแรกของปี 48 เล็กน้อย เพราะแม้ว่าความต้องการใช้ถ่านหินจะมีมากขึ้นเป็นลำดับจากปีก่อนถึงปัจจุบัน แต่ช่วงไตรมาสแรกปี 48 ราคาถ่ายหินปรับตัวสูงขึ้นอันเป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบในตลาด ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าและสต๊อกสินค้ามีน้อย ส่งผลให้ราคาขายเพิ่มอย่างเห็นได้ชัและมีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามาอีก จึงเป็นแรงหนุนให้ยอดขายและกำไรของบริษัทในช่วงดังกล่าวสูง ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้แม้ความต้องการใช้ถ่านหินจะมีมากขึ้น แต่ราคาค่อนข้างนิ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จึงต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม ไตรมาสแรกปีนี้ก็ใกล้เคียงกับไตรมาสสุดท้ายของปี 48 เนื่องจากลูกค้าของบริษัทที่เริ่มเปลี่ยนเตาบลอยเลอร์ใหม่ทยอยหันมาใช้ถ่านหินแทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง แต่จะเห็นภาพชัดในไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยเฉพาะแนวโน้มของภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องปัจจุบันราคาน้ำมันเตาอยู่ที่รับ 15-16 บาทต่อลิตรพิ่มเป็นกว่า 20 บาทต่อลิตร จะทำให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและกลางหันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงกันมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ต้องรอเวลาการเปลี่ยนเตาใหม่ก่อน เนื่องจากพบว่าลูกค้าหลายรายอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเตา และอาจต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเป็นลักษณะค่อยปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับการประกอบธุรกิจของลูกค้าแต่ละราย
“ ลูกค้าของเราบางรายอาจล่าช้าไปบ้าง ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนเตาใหม่ แต่ผมเชื่อว่าแนวโน้มการหันมาใช้ถ่านหินจะมีมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะราคาน้ำมันเตาจะต้องเพิ่มขึ้นอีกจากเดิมอยู่ที่ 15-16 บาท ” นายชัยวัฒน์กล่าว
โดยปีนี้ UMS จะมีคลังสินค้าแห่งใหม่เพิ่มอีก ซึ่งจะทำให้บริษัทมีพื้นที่สต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 4-5 หมื่นตันต่อเดือนเป็นมากกว่าแสนตันต่อเดือนหรือเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากเดิม อันจะทำให้บริษัทสามารถเก็บถ่านหินไว้ในสต๊อกเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนเตาของลูกค้าจะเป็นแบบทยอยเปลี่ยน ดังนั้นการได้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มเข้ามาอีกจะเห็นผลขึ้นเรื่อย ๆ เป้าหมายลูกค้าเพิ่มเป็น 100 รายในปีนี้จะเกินเป้าแน่ อันเป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง บวกกับด้านการตลาดของบริษัทที่เร่งหาลูกค้าใหม่เพิ่ม จึงส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของลูกค้าเป็นลำดับ ขณะที่การเติบโตของรายได้ปีนี้ยังคงอยู่ในระดับ 30% เหมือนทุกปีที่ผ่านมา
นายชัยวัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจะยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ให้อยู่ในระดับ 25-30% โดยในปีที่ผ่านมาทางบริษัทฯมีกำไรอัตราขั้นต้น 31% และปีนี้ก็จะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้ประมาณ 30% เนื่องจากมีการบริหารต้นทุนให้ลดลง โดยหากมีการสร้างคลังสินค้าแล้วเสร็จเร็วก็จะทำให้บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นดีขึ้น ขณะเดียวกันตั้งเป้ารักษาหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ได้ในระดับไม่เกิน 1 เท่า จากปัจจุบันที่มี D/E ในระดับ 0.79 เท่า เพื่อให้บริษัทฯมีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ
สำหรับ กรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจาก UMS สามารถควบคุมต้นทุนทางการขนส่งและค่าระวางได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาการบริหารและอยู่ในวงการนี้มานาน
โดยผลงานงวดสิ้นปี 48 บริษัทมีกำไรสุทธิ 164.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 134.53 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มจาก 2.26 บาทเป็น 2.35 บาาทต่อหุ้น เนื่องจากการมีลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก มีผลทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
|
|
|
|
|