ในระหว่างที่ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และมณฑลยูนานของจีน กำลังคร่ำเคร่งหารือเพื่อประสานความร่วมมือกันในอันที่จะสร้างให้ลุ่มแม่น้ำโขงเป็นดินแดนแห่งความรุ่งโรจน์
Crosby Group กลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจเอเชียที่มีบทบาทโดดเด่นไม่แพ้เฮาส์เมืองลุงแซม
หรือเมืองผู้ดี ก็ได้ริเริ่มจัดตั้ง "The Greater Mekong Capital Fund"
กองทุนหุ้นลงทุนในรูปแบบหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) ที่เน้นการลงทุนในประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรก
Timothy Beardson ประธานกลุ่มครอสบี้ ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท เล่าว่า กองทุนนี้จะมีลักษณะคล้าย
ๆ กองทุนเพื่อการพัฒนา (Development Fund) แต่เน้นการลงทุนแบบ Venture Capital
หรือที่คนอเมริกันเรียกว่า Private Equity คือ ลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับเม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นของกองทุนนี้มีมูลค่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐ
คิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,250 ล้านบาท อายุ 7 ปี มีบริษัท Crosby Asset Management
บริษัทในเครือเป็นผู้บริหารเงิน ซึ่งได้มาจากการลงขันของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย
(ADB), Brunei Investment Agency ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลบรูไน, Bank of
Boston สถาบันการเงิน และหน่วยงานรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมทั้งทำหน้าที่ตั้งแต่ศึกษาโครงการไปจนถึงตัดสินใจลงทุน
Beardson ผู้ซึ่งนั่งประจำที่สำนักงานใหญ่ ฮ่องกง อธิบายถึงนัยสำคัญของกองทุนนี้เมื่อครั้งที่มาเยือนสำนักงานครอสบี้ไทย
ซึ่งจับมืออยู่กับ บงล.ตะวันออกฟายเน้นซ์ (1991) ครั้งล่าสุดว่า เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
ดังนั้น กองทุนนี้จะมีบทบาทสำคัญเสมือนหนึ่งเป็นตัวเร่ง (Catalyst) ที่จะกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในเขตเศรษฐกิจที่มีความเจริญเติบโตแห่งนี้
ซึ่งหมายความว่า กองทุน The Greater Mekong Capital Fund จะทำหน้าที่เป็นผู้ดึงผลประโยชน์ของนานาประเทศมาสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และมีความแตกต่างกันในด้านอื่นเล็กน้อยเท่านั้น
ยกตัวอย่าง เวียดนามมีแรงงานฝีมือจำนวนมาก เป็นต้น
"กองทุนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่ได้ไปลงทุนที่ไหน เพียงแต่อยู่ในระหว่างการมองหาธุรกิจที่ดีมีคุณภาพทั้งในไทยและประเทศรอบ
ๆ นี้ เพื่อลงทุนในลักษณะเข้าไปถือหุ้น และขณะนี้กำลังทำ Due Diligence หลายโครงการ
และมีโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการ Investigation อีกเป็นจำนวนมาก"
ขณะนี้ ครอสบี้อยู่ในระหว่างการศึกษาคัดเลือกโครงการ ซึ่งตอนนี้มีอยู่ในมือประมาณ
100 โครงการ แต่คาดว่าจะมีเพียง 10 โครงการเท่านั้นที่จะสอบผ่าน Beardson
เปิดเผยเพียงคร่าวๆ ว่า บริษัทที่จะเข้าตาเขาได้จะต้องเป็นบริษัทที่ดีมีคุณภาพ
มีการบริหารงานที่ดี และต้องเป็นบริษัทที่มีอนาคต โดยโครงการที่จะลงทุนนั้นจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า
3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 75 ล้านบาท
"กลยุทธ์การลงทุนของเรา จะเน้นที่ตัวบริษัทเป็นหลัก ไม่มีการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรม
หรือธุรกิจเป้าหมายไว้ตายตัว เพราะเราจะมองหาบริษัทเอกชนที่ดีมีคุณภาพ มีโครงการที่ดี
มีลักษณะพลวัต และที่สำคัญต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตลุ่มน้ำโขง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนในแต่ละประเทศไว้แน่นอน
ดังนั้น พอร์ตการลงทุนของกองทุนนี้จะมีลักษณะเป็นแบบผสมผสาน ไม่มีการกำหนดเป้าหมายไว้แน่นอนตายตัว"
อดีตเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจมาเลเซีย ก่อนตัดสินใจขายกิจการแล้วหันมาตั้งบริษัทของตนเองอย่างเต็มตัวเมื่อปี
1984 ให้ความเห็น
อย่างไรก็ตาม เขาคาดว่า กองทุนนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นหุ้นส่วนทั้งหมดภายใน
5 ปี หากกองทุนนี้สามารถนำเงินไปลงทุนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยใน 3 ปีแรก
ซึ่งผลตอบแทนนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลกำไรจริงที่ผู้จัดการกองทุนสามารถทำได้ ไม่มีการรับประกันผลตอบแทน
ขณะที่ตัวเขาเองเชื่อมั่นว่า กองทุนนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น
เพราะจากตัวอย่างกองทุนประเภทเดียวกันที่ลงทุนในภูมิภาคน ี้ก็สามารถสร้างกำไรจากการขายหุ้นที่ลงทุนได้อย่างสวยงามทีเดียว
"เจตนารมณ์ของเรา คือ การทำเงินจากการลงทุนในธุรกิจที่ดีในเขตลุ่มแม่น้ำโขง
แต่การลงทุนนี้มีลักษณะเหมือนเป็นการซื้ออนาคตบริษัทในเขตลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ
นั่นก็คือ กำไรของเรา"
จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการตลาดทุน และคลุกคลีทำธุรกิจอยู่ในเอเชียเป็นระยะเวลานาน
ทำให้เขาคาดหมายว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในเขตลุ่มแม่น้ำโขงจะพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองไปได้อย่างรวดเร็ว
นั่นย่อมหมายความว่า หุ้นส่วนที่มีหุ้นในกองทุนนี้จะได้ผลตอบแทนเร็วขึ้นกว่าเดิม
พร้อมกันนั้นมูลค่าของกองทุนก็อาจจะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน ซึ่งเขาประมาณคร่าว
ๆ ว่า อาจจะสูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นมาเพียง 200 ล้านเหรียญสหรัฐก็เป็นได้
"เราต้องการเห็นโครงการนำร่อง หรือ Pilot Project ที่เราสามารถลงทุนได้เกิดขึ้นมาก
ๆ เพื่อที่เราจะได้เพิ่มเงินกองทุนให้มากขึ้น"
อย่างไรก็ดี ล่าสุดเกิดความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มครอสบี้ โดยเฉพาะในบริษัทหลัก
คือ ครอสบี้ ไฟแนนเชียล โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งประกาศโยกย้ายตัวผู้บริหารครั้งใหญ่และมีการเพิ่มทุนจาก
46 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็นมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปีนี้
Beardson กล่าวว่า ครอสบี้ ไฟแนนเชียล โฮลดิ้งส์ กำลังมองหาผู้ร่วมทุนเพื่อมาถือหุ้นส่วนข้างน้อย
ซึ่งตอนนี้บริษัทกำลังเจรจากับสถาบันอยู่ 4 แห่ง ในจำนวนนี้มีบริษัทในแถบเอเชียรวมอยู่ด้วย
และคาดกันว่า จะมีธนาคาร Banque Paribas SA แห่งฝรั่งเศส ซึ่งกำลังแสวงหาบริษัทดบรกเกอร์เอเชียเพื่อลงทุน
สนใจเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในครอสยี้ด้วย
ประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนนั้น เป็นที่กล่าวขวัญกันมาก Beardson ให้เหตุผลว่า
ครอสบี้กำลังพัฒนาธุรกิจด้านคอร์ปอเรท ไฟแนนซ์ และเล็งเห็นว่าธุรกรรมเรื่อง
Bought deals กำลังเติบโตอย่างมาก ซึ่งล่าสุด ครอสบี้ร่วมกับธนาคารโซซิเอเต้เจเนราล
เพิ่งร่วมกันทำธุรกรรมนี้ให้กับบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าในฮ่องกงชื่อ Giordano
International มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
(Bought deal หรือที่รู้จักในนาม private placement ก็คือ การขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง
บริษัทที่ประสงค์จะระดมทุนโดยเร็วอาจขายหุ้นใหม่หรือหุ้นที่มีอยู่ให้แก่โบรกเกอร์ในราคาที่ตกลงกันไว้
และโบรกเกอร์ก็จะนำหุ้นจำนวนนั้นไปขายให้ลูกค้า โดยคาดหมายว่าจะได้รับผลกำไรกลับมาจากการทำรายการเช่นนี้ในเวลาอันสั้น)
Beardson เล็งเห็นว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าธุรกรรมเช่นนี้จะเติบโตสูงมาก นอกจากนี้
การค้าตราสารหนี้สกุลเงินเอเชียก็เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญมากขึ้น เขายังต้องการมีเก้าอี้โบรกเกอร์ในตลาดหุ้นหลายแห่งในเอเชีย
โดยเฉพาะตลาดหุ้นมาเลเซียและอินโดนีเซีย ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ ครอสบี้จำเป็นต้องมีการเพิ่มฐานเงินทุนเพื่อที่จะขยายธุรกิจได้มากขึ้นนั่นเอง