“แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์”หนีคู่แข่ง เร่งขยายฐานลูกค้าสู่ระดับล่าง ราคา 500,000 บาท หลังโกยยอดขายคอนโดมิเนียมราคา 1 ล้านบาทเศษแบบถล่มทลายทุกทำเล ปูพรมโครงการแรกย่านอ่อนนุช มูลค่า 1,500 ล้านบาท พร้อมเจรจาสถาบันการเงินปล่อยกู้ลูกค้ากลุ่มเสี่ยง สร้างความมั่นใจจองแล้วมีแบงก์ปล่อยกู้
แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะอยู่ในช่วงขาลง แต่บรรดาเซียนในวงการอสังหาฯต่างก็ดาหน้ากันออกมาการันตีว่าปีนี้ธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกราว10%แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้นมากมาย รวมถึงในช่วงไตรมาสแรกตลาดหดตัวลง 20% ซึ่งเกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ซึ่งมีผลในระยะสั้นๆ หลังจากนี้ตลาดจะเริ่มสดใส
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมนั้น อาจจะโชคดีกว่าเซกเมนท์อื่น เพราะยังมีกำลังซื้อบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่ากำลังซื้อระดับบนเหลือน้อยมากแต่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจริงๆ ขณะที่ตลาดที่ยังร้อนแรงคือระดับราคาปานกลาง หรือราคาเฉลี่ยที่ยูนิตละ1-2 ล้านบาท มีผู้ประกอบการหลายรายแห่เข้าไปทำตลาด ซึ่งเท่ากับว่าแย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกันมากขึ้น
โดยบมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เป็นผู้ที่ทำตลาดดังกล่าวมานานกว่า 10 ปี และเมื่อมีผู้ประกอบการหลายอื่นมาแย่งตลาด จึงปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขัน พร้อมทั้งต้องการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ประกอบกับรู้ว่ามีลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมราคา 500,000 บาท บริษัท แอล.พี.เอ็น.ฯจึงมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ราคายูนิตละประมาณ 500,000 บาทขึ้นไป
การทำคอนโดมิเนียมราคา 500,000 บาท นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้าแล้ว ยังมีช่องว่างการทำการตลาดอีกด้วย เพราะคอนโดมิเนียมราคานี้ไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใดลงทุน โดยก่อนหน้านี้มีกลุ่มนิรันดร์ ที่ทำในราคา 2-3 แสนบาทเท่านั้น ขณะที่มีความต้องการค่อนข้างมาก เห็นได้จากการเปิดให้จองโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ที่ประชาชนจำนวนมากแห่กันไปจอง จนทำให้กคช.สร้างไม่ทันส่งมอบ
โอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ กล่าวว่า บริษัทเห็นว่าลูกค้าที่มีความต้องการคอนโดมิเนียมราคา ประมาณ 500,000 บาทมีจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่เช่าบ้าน หรือเช่าอพาร์ตเมนท์อยู่ ซึ่งมีกำลังในการผ่อนชำระในแต่ละเดือน และต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมเอง แต่ไม่สามารถหาซื้อได้ เพราะไม่มีผู้ประกอบการลงทุน
ดังนั้น แอล.พี.เอ็น.ฯ จึงมีแผนที่จะลงทุนโครงการในระดับราคาดังกล่าว โดยจะเลือกบริเวณแหล่งชุมชน ที่ออกจากเมืองไม่ไกลมากนัก และใกล้กับแนวรถไฟฟ้า ซึ่งในเบื้องต้นมีแผนที่จะลงทุนโครงการในย่านอ่อนนุช ไม่เกินศรีนครินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากแนวรถไฟฟ้า BTS เพียง 15 นาทีเท่านั้น
“เหตุผลที่แอล.พี.เอ็น.ฯกล้าลงทุนโครงการระดับล่าง เพราะมีข้อได้เปรียบตรงที่มีฐานข้อมูลลูกค้าที่ต้องการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากกว่าหลักหมื่นรายและรู้ว่าพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร ที่สำคัญยังมีช่องว่างในการทำการตลาดอีกมาก จึงสนใจลงทุน”โอภาสยืนยัน
สำหรับรายละเอียดโครงการจะพัฒนาเป็นโครงการขนาดใหญ่ จำนวนยูนิตมากกว่าโครงการที่ทำราคา 1 ล้านบาทขึ้นไปเท่าตัว หรือราวๆ 3,000 ยูนิต ส่วนพื้นที่ใช้สอยจะมีขนาด 22 ตารางเมตรขึ้นไป มูลค่า 1,500 ล้านบาท เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานทั้งในแง่ของการสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง การบริหารสต็อก และประสิทธิภาพของบุคคลากร ตลอดจนคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและเปิดขายได้ในช่วงปลายปีนี้
หากโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนออกไปยังพื้นที่อื่นด้วย อาทิ งามวงศ์วาน เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะผ่อนชำระเพียงเดือนละ 2,000-3,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับค่าเช่าที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ขณะที่มีรายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 15,000 บาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่อาจจะไม่ปล่อยกู้ลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะลูกค้ากลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใบรับรอง หรือหลักฐานแสดงรายรับรายจ่าย บริษัทจึงได้เจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อให้ปล่อยสินเชื่อกับลูกค้า
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามที่จะให้กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารออมสิน เป็นหัวหอกในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าระดับนี้ เพราะเชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีความสามารถในการผ่อนชำระในแต่ละเดือน และเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีวินัยในด้านการเงิน
โอภาสกล่าวอีกว่า มีแผนจะปรับราคาขายประมาณ 5% เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ค้าวัสดุก่อสร้างและผู้รับเหมขอปรับค่าขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นเหล็กและทองแดงที่ปรับขึ้น10% และคาดว่าปูนซิเมนต์จะมีการปรับขึ้นในไม่ช้า
สำหรับแผนการลงทุนในไตรมาสสอง บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 2 แห่ง มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการ จะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2550 ขณะที่ไตรมาส 3 จะเปิดโครงการใหม่อีก 1 แห่งได้แก่ โครงการลุมพินี ปิ่นเกล้า 2 จำนวน 600 ยูนิต มูลค่า 1,200 ล้านบาท โดยมีโครงการที่เปิดขายรวม 5 โครงการ
ด้านผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่ารับรู้รายได้ 5,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 6,500 ล้านบาทในปี 2550 โดยในปี 2551 จะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกมียอดขายประมาณ2,000ล้านบาท
|