|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.ฟิลลิป ล้มแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หวั่นผลตอบแทนไม่จูงใจนักลงทุน เหตุกำไรไม่หวือหวา หลังจากต้องใช้เงินลงทุนขยายกิจการ บวกกับตลาดหุ้นไม่เอื้อ ด้าน ผู้บริหาร เล็งรุกลูกค้าสถาบันมากขึ้นเป็น 20%จากขณะนี้มี 5-10% ดันมาร์เกตแชร์โบรกเกอร์ปีนี้ที่ 2.2% จากปัจจุบัน 1.7% แม้ต่ำกว่าปี48ที่ 2.7% ตั้งเป้าอนุพันธ์ลุกค้าเปิดบัญชีปีนี้ 500 บัญชี
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการถอนแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว เนื่องจากผลตอบแทนที่จะคืนให้กับผู้ถือหุ้นอาจจะลดลง จากการที่บริษัทต้องมีการลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบทำให้กำไรของบริษัทลดลงตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์เองยังไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) รวมถึงภาวะตลาดหุ้นยังไม่มีความเหมาะในปีนี แต่ในปี 2550 บริษัทอาจจะมีการทบทวนแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนอีกครั้งหนึ่ง
นายสุชาย กล่าวว่า แม้บริษัทยกเลิกแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนขยายธุรกิจ เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดจำนวนกว่า 200-300 ล้านบาท รวมถึงกลุ่มบริษัทฟิลลิป แคปปิตอล มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ คือมีกระแสเงินสดจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2549 นั้น บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ไว้ที่ 2.2% ของตลาดรวม จากปัจจุบันมาร์เกตแชร์อยู่ที่ประมาณ 1.7-1.8% ลดลงจากปีก่อนที่มีมาร์เกตแชร์ 2.6-2.7% เนื่องจากลูกค้าสถาบันได้เข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้นเป็น 50% ขณะที่ฐานลูกค้าบริษัทส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย และมีฐานลูกค้าสถาบันเพียง 5-10% เท่านั้น
"บริษัทมีแผนจะบุกลูกค้าสถาบันมากขึ้น เพื่อให้มาร์เกตแชร์ปีนี้เป็นไปตามเป้าที่ 2.2% โดยมีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจไปนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ และคาดว่าปีนี้จะมีมาร์เกตแชร์ลูกค้าสถาบันเพิ่มเป็น 20%"
ส่วนแผนการขยายฐานลูกค้ารายย่อยนั้น บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งภายในปีนี้ คือ สาขาหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภายในครึ่งปีแรก และสาขากรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้ารายย่อย จากปัจจุบันมีลูกค้าเปิดบัญชีจำนวน 20,000 บัญชี แบ่งเป็นบัญชีซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต 13,000 บัญชี
ขณะเดียวกัน บริษัทได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจอนุพันธ์และลงทุนในพอร์ตมากขึ้น โดยบริษัทมีวงเงินที่ 100 ล้านบาทในการเก็งกำไร(Arbitrage) จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนน้อย แต่มีนี้มีธุรกิจอนุพันธ์ทำให้บริษัทมีช่องทางในการเก็งกำไรมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2549 บริษัทตั้งเป้ามาร์เกตแชร์อนุพันธ์ไว้ที่ 10% และคาดว่าจะมีลูกค้าเปิดบัญชีจำนวน 400-500 บัญชี จากขณะนี้ที่มีนักลงทุนบัญชีแล้ว 25 บัญชี โดยบริษัทได้มีการจัดโครงการเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ภายใต้โครงการ "Phillip Futures Challenge" เพื่อให้นักลงทุนทดลองซื้อขายอนุพันธ์ที่มีลักษณะเหมือนจริงทุกประการ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะเสนอตัวจะเป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง (มาร์เกตเมกเกอร์)ในตลาดอนุพันธ์ ในการดูแลการซื้อขายและจะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในอนุพันธ์มากขึ้น ซึ่งขณะนี้รออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต.
"ตั้งแต่เปิดการซื้อขายได้ 2 สัปดาห์ ระบบการซื้อขายของบริษัทไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งถือว่ามีปริมาณการซื้อขายที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่มูลค่าการซื้อขายเชื่อว่าจะยังไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนสถาบันยังไม่เข้ามาลงทุน เพราะ ต้องรอให้การซื้อขายมีจำนวนที่มากพอสมควร ดังนั้นจึงต้องให้ความรู้นักลงทุนรายย่อยให้เข้ามาลงทุนก่อน"
สำหรับปี 48 บริษัทมีรายได้จากซื้อขายหลักทรัพย์ 400-500 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท ซึ่งบริษัทพยายามหารายได้อื่นเข้ามามากขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 40-50 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากพอร์ตการลงทุน และมีกำไรจากอนุพันธ์
ส่วนงานด้านที่ปรึกษาทางการเงินนั้น ขณะนี้บริษัทรับเป็นที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ จำนวน 4-5 บริษัท ซึ่งมีขนาดทุนจดทะเบียน 100 -1,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกลุ่ม บริการ อสังหาริมทรัพย์ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในปีนี้ได้ 2 บริษัท ขณะเดียวกับบริษัทยังรับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการอีก 2-3 บริษัท
|
|
|
|
|