ครม.รักษาการทำผิดหลักการ อนุมัติงบ 9.6 หมื่นล้าน ไฟเขียวโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกรุงเทพฯ 14,000 ล้าน พร้อมผูกงบข้ามปีค่าเช่า 30 ปีถึง 82,000 ล้าน เผยการออกบอนด์ล็อตสอง 8,700 ล้าน รอที่ปรึกษาทางการเงินตัดสินใจ จับตากรมธนารักษ์คุมงบจ่ายค่าเช่าแทน 29 หน่วยงานทั้ง 82,000 ล้าน วงในชี้รัฐบาลรักษาการไม่ควรอนุมัติ ข้องใจ รมต.ตระกูล "ชาญวีรกุล"อยู่ในครม. อาจเป็นเหตุเร่งรัดเอื้อ "ซิโน-ไทย"หยิบชิ้นปลามัน ด้านหุ้น STEC ควงคู่ ITD ปรับเพิ่มขึ้น
วานนี้ (9 พ.ค.)คณะรัฐมนตรี (ครม.)รักษาการ ได้อนุมัติการก่อหนี้ผูกพัน "โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกรุงเทพฯ แจ้งวัฒนะ"ตามข้อเสนอของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) หน่วยงานในสังกัดกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง การก่อหนี้ผูกพันต่อโครงการดังกล่าว กำหนดให้ลงนามเซ็นสัญญากับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ชนะประมูล 2 ราย คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STEC และบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)หรือ ITD ในวันที่ 15 พ.ค.นี้
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานกรรมการบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้รับทราบการขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี ค่าเช่า 30 ปี ของโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพฯ ตามที่ครม.มีมติอนุมัติให้กรมธนารักษ์ ทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ เพื่อสร้างโครงการดังกล่าวโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ นอกจากนี้ กรมฯยังได้เสนอรายงานเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการไปแล้วให้ครม.ได้รับทราบ ซึ่งหลังจากนี้ทุกๆ 6 เดือน จะต้องมีรายงานเรื่องดังกล่าวให้ครม.รับทราบด้วย
"เมื่อมีการลงนามในวันที่ 15 พ.ค.นี้แล้ว คาดว่าภายในต้นเดือนมิ.ย.ก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างบริเวณศาลปกครองได้ คาดว่าจะเสร็จภายในกลางปี 2550 ส่วนบริเวณที่เหลือจะสามารถสร้างเสร็จภายในกลางปี 2551"นายวิสุทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ชนะประมูลในโครงการที่ 2 สัญญาก่อสร้างที่ 3 การก่อสร้าง อาคาร บี พร้อมลานรอบอาคาร เสนอราคา 6,877 ล้านบาท จากมูลค่าราคากลาง 7,355 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 6.5 % ขณะที่บริษัทซิโน-ไทยฯ ชนะในสัญญาที่ 2,4 และ 5 มูลค่าโครงการ 6,355 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทซิโน-ไทยฯยังชนะการประมูลก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองของโครงการศูนย์ราชการฯ วงเงิน 1,813 ล้านบาท และรวมถึงงานปรับปรุงที่ดินในโครงการ
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า กรมธนารักษ์ ยังมีโครงการที่ต้องเซ็นสัญญาในการก่อสร้างโครงการศูนย์ราชการฯอีก 3 โครงการ ได้แก่ สัญญาการตกแต่งภายใน ,สัญญาการปรับภูมิทัศน์ และสัญญาการสร้างระบบสาธารณูปโภค รวมมูลค่า 1,000-2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายในเดือนก.ค.49 กรมฯจะเปิดประมูลทั้ง 3 โครงการได้
**ธนารักษ์คุมงบจ่ายค่าเช่า 82,000 ล้าน
น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.ยังให้กรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณชำระค่าเช่าพื้นที่สำนักงานแทนหน่วยงานราชการต่างๆ 29 หน่วยงานที่เข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการฯกำหนดระยะเวลา 30 ปี (ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551-2581) รวมเป็นเงินถึง 82,000 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครองประชาชนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อยืนยันการได้รับคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามกำหนดที่แน่นอน หลังจากได้ระดมทุนเพื่อก่อสร้างศูนย์ราชการฯ
ทั้งนี้ การคิดค่าเช่าพื้นที่จะอยู่ที่ 144 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน และเพิ่มขึ้นอีก 10 % จากค่าเช่าเดิมในทุก 5 ปี รวมถึงสัญญาบริการในเรื่องรักษาความสะอาด ความปลอดภัย ค่าน้ำ ไฟฟ้า พื้นที่ส่วนกลางอยู่ที่ 216 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน รวมถึงมีค่าจัดหาเฟอร์นิเจอร์ 50 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน โดยทางกรมธนารักษ์จะเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าเช่าและบริการตามสัญญาดังกล่าวตลอดระยะเวลา 30 ปี
**ลุ้นต้นทุนออกบอนด์ไม่สูง
นายวิสุทธิ์ กล่าวถึงเรื่องระดมทุน ผ่านการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของโครงการดังกล่าวว่า คงต้องหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินก่อน จะสามารถออกพันธบัตรในช่วงเวลาเดิมที่กำหนดไว้ คือในช่วงเดือนพ.ย.49 หรือไม่ เนื่องจากจะต้องดูถึงความเหมาะสมรวม ทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและจังหวะที่สอดคล้องกับการใช้เงินเพื่อทำโครงการด้วยว่าเป็นอย่างไร แต่คาดว่าอาจจะสามารถออกได้ก่อนกำหนดเดิมที่วางไว้
ทั้งนี้ การออกพันธบัตรทั้งหมด 24,000 ล้านบาท จากที่ปีก่อนระดมทุนไปแล้ว 10,300 ล้านบาท ในปีนี้จะออกอีก 8,700 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาท จะออกไปในปี2550
ก่อนหน้านี้ อธิบดีกรมธนารักษ์ระบุว่า หากมีการลงนามสัญญาการก่อสร้างในเดือนพ.ค. บริษัทเอกชนที่ชนะการประกวดราคาจะต้องยืนยันราคาเดิม แต่หากเลยเดือนนี้ ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อวงเงินและการประมูล
อย่างไรก็ตาม หลังจากยุบสภาฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า จะให้ชะลอโครงการไปก่อน เพื่อรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาตัดสินใจ
**เผยที่มา ซิโน-ไทยคว้าพุงปลา
แหล่งข่าวในวงการก่อสร้าง กล่าวว่า การอนุมัติครั้งนี้ถือว่า 2 บริษัทผู้รับเหมาได้งานโครงการฯ แบบเบ็ดเสร็จ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพียงโครงการเดียวในปีนี้ ทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายอื่นที่จะมีโอกาสเข้าไปชิงชัยกับ 2 ผู้รับเหมาค่อนข้างลำบาก
"เราไม่แปลกใจที่อิตาเลี่ยนไทย และซิโน-ไทย ได้งานไป แต่ก็คิดว่างานอื่นผู้รับเหมาก็ควรที่จะได้บ้าง" แหล่งข่าวกล่าวตั้งข้อสังเกตพร้อมยอมรับว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ซิโน-ไทย ที่มีตระกูลชาญวีรกูล เป็นเจ้าของและได้งานก่อสร้างดังกล่าวไปทั้งๆ ที่รัฐบาลยังอยู่ในช่วงรักษาการซึ่งไม่ควรอนุมัติโครงการขนาดใหญ่
"ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่มีรัฐมนตรีอยู่ในครม. คือ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล รักษาการ รมช.สาธารณสุข สังเกตุจากก่อนหน้านี้ งานประมูลของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ก็ชนะการประมูล เช่น โครงการรถไฟฟ้าเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ หรือแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท"
**ซิโน-ไทย ยันการเมืองไม่ช่วย
นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการสายงานการเงินและบริหาร ซิโน-ไทย กล่าวยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินการทุกขั้นตอนตามที่ภาครัฐเป็นผู้กำหนด ซึ่งเป็นการปฎิบัติตามเหมือนเช่นกับบริษัทรายอื่นๆที่เข้าประมูลพร้อมๆ กัน
"ถ้ามองแบบเชิงลบแปลว่าไม่เข้าใจในเรื่องของธุรกิจการก่อสร้างมาก่อน เนื่องจากโอกาสที่จะได้งานเข้ามาเรื่องของราคาเป็นสิ่งที่สำคัญ ถามว่าถ้าซิโน-ไทย เสนอราคาสูงแล้วจะได้งานเข้ามาหรือไม่ และอยากให้แยกระหว่างธุรกิจกับการเมือง เรื่องการเมืองไม่ได้เข้ามาช่วยให้ได้งาน ซึ่งการที่ครม.อนุมัติให้มีการเซ็นสัญญากับบริษัท ก็ต้องถือว่าเลื่อนมาหลายเดือนแล้ว การก่อสร้างใช่ว่าจะทำได้ทันที ต้องมีการเตรียมการต่างๆ ประมาณ 2 เดือน คาดจะมีเวลาก่อสร้างจริงในปีนี้เพียง 4-5 เดือน ซึ่งผลดังกล่าว บริษัทไม่ได้คาดหวังว่าจะส่งเสริมให้ยอดรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวสูงในปีนี้ คงมีบ้างแต่ไม่มากมาย แต่ปีหน้าจะมียอดรับรู้รายได้จากงานศูนย์ราชการเยอะมาก"นายวรพันธ์กล่าวและว่า ในช่วง 3เดือนแรกของปี 2549 บริษัทได้เซ็นสัญญางานก่อสร้างในโครงการอื่นๆไปแล้ว 3,200 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นงานของภาครัฐบาล อาทิเช่น ของกรมชลประทาน เป็นต้น โดยในปีนี้คาดว่าจะมียอดขาย (งานที่ส่งมอบ) ประมาณ 15,000 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ มีการประเมินว่า บริษัทจะมีกำไรประมาณ 5-7 % จากโครงการศูนย์ราชการฯและถือเป็นงานของราชการงานแรกที่ได้ในปีนี้ ส่วนราคาที่ประมูลได้ คิดเผื่อราคาวัสดุไว้แล้ว แม้จะไม่มีค่า K ให้ก็ตาม
**"เปรมชัย"มั่นใจรัฐต้องเซ็นอนุมัติ
แหล่งข่าวจากบริษัท อิตาเลี่ยนไทยฯ กล่าวว่า ทางนายเปรมชัย กรรณสูต ไม่ได้แปลกใจที่ครม.ได้ตัดสินใจอนุมัติให้มีการเซ็นสัญญากับบริษัทฯ เนื่องจากทางผู้บริหารมีความมั่นใจว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะต้องผลักดันโครงการศูนย์ราชการฯต่อไป เนื่องจากเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
"การที่อิตาเลี่ยนไทย เข้าประมูลก็แสดงว่าเรามั่นใจที่จะได้งานเข้ามา ประกอบกับข้อเสนอที่ให้แก่ภาครัฐก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศ จึงไม่มีความจำเป็นต้องซีเรียส"แหล่งข่าว กล่าว
สำหรับงานก่อสร้างที่บริษัทรับใหม่ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นสุด 30 มี.ค.49 มีมูลค่างานในมือทั้งหมด 82,634 ล้านบาท แยกเป็น โครงการบ้านเอื้ออาทร (เทิร์นคีย์เฟส5) มูลค่าถึง 33,178 ล้านบาท โครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิส่วนที่ 3 มูลค่า 2,621 ล้านบาท เป็นต้น มีโครงการที่รอเซ็นสัญญาร่วม 10 โครงการ มูลค่างานกว่า 10,000 ล้านบาท และมีโครงการในอนาคตที่อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อร่วมดำเนินการในประเทศประมาณ 1.3 แสนล้านบาท และศึกษาที่จะเข้าร่วมงานในต่างประเทศอีก 1.2 แสนล้านบาท
**นักวิเคราะห์ชี้แนวโน้มได้งานเพิ่ม
น.ส.วิชชุดา ปลั่งมณี ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ ITD และ STEC มีงานในมือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โครงการนี้อาจจะไม่ได้มีดีต่อผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทมากนัก เนื่องจาก ทั้ง 2บริษัทอาจจะมีกำไรเบื้องต้นต่ำลง เพราะทั้ง 2 บริษัทได้เสนอราคาประมูลที่ต่ำและโครงการนี้ได้มีการเลื่อนการเซ็นสัญญามา แล้ว 2-3 ครั้ง ซึ่งต้นทุนวัสดุต่างๆก็เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ส่วนการรับรู้รายได้คาดว่าจะรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาสที่ 3-4 ปีนี้
ทั้งนี้บริษัท ITD เป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง และมีมูลค่าโครงการในมือสูง ทำให้สามารถซื้อวัสดุได้ถูก และมีโรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศอินเดีย ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนในการก่อสร้างได้ดี โดย บล.เกียรตินาคิน ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น ITD ในปีนี้ 11 บาทต่อหุ้น ซึ่งบริษัทแนะนำซื้อลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี
นางสาววิชชุดา กล่าวว่า ส่วนบริษัท STEC เป็นบริษัทรับงานค่อนข้างระมัดระวังและน้อย เนื่องจาก รับงานจำนวนมาก จะทำให้บริษัทมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น บริษัทคาดว่าไตรมาส 1/49 STEC จะมีรายได้ลดลง เนื่องจากบริษัทจะมีการรับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการ Airport link ซึ่งมีกำไรเบื้องต้น (มาร์จิ้น)ที่ต่ำ ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น STEC ในปีนี้ 11 บาทต่อหุ้น บริษัทแนะนำเก็งกำไร
อนึ่ง วานนี้ (9 พ.ค.) ราคาหุ้น ITD ปิดที่ 7.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.67 % และราคาหุ้น STEC ปิดที่ 9.00 บาทเพิ่มขึ้น 0.05บาทหรือ 0.56 %
|