Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2539
แพทริก ซี. ลิม เมื่อต้นตำรับเฮลิคอปเตอร์จะเป็นแท็กซี่             
 


   
search resources

ฮิลเลอร์ แอร์คราฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล
พัฒน์ฤทธิ์ รินสาลิน
Aviation




"สาเหตุสำคัญที่ผมตัดสินใจซื้อกิจการของ Rogerson Hiller ก็เนื่องมาจากว่า คุณพ่อผมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ฮิลเลอร์ ส่วนที่ผมเลือกใช้ไทยเป็นฐานในการผลิต-จำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์ฮิลเลอร์นั้น เพราะว่าภรรยาผมเป็นคนไทย และเธอก็ไม่ต้องการไปอยู่ที่ไหน นอกจากที่นี่" พัฒน์ฤทธิ์ รินสาลิน หรือ Patrick C. Lim ประธานกรรมการบริษัท ฮิลเลอร์ แอร์คราฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

"ฮิลเลอร์" ถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดอากาศยานปีกหมุนหรือเฮลิคอปเตอร์แก่โลก โดยในปี 2485 สแตนเลย์ ฮิลเลอร์ จูเนียร์ และได้ทดลองบินสำเร็จในปี 2489 พร้อมกับให้ชื่อว่า "Hiller Copter XH-44"

ความสำเร็จจากการบินทดสอบครั้งนั้น เป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัท ยูไนเต็ด เฮลิคอปเตอร์ อิงค์ โดยกลุ่มนักลงทุนสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากสแตนเลย์ ฮิลเลอร์ จูเนียร์แล้ว ก็ยังมีเซอร์ จอร์จ ที. เค. ลิม (Sir George T. K. Lim) ซึ่งเป็นบิดาของแพทริกรวมอยู่ด้วย

เซอร์ จอร์จ ที. เค. ลิม สืบเชื้อสายมาจากตระกูลข้าราชการชาวจีนเชื้อสายแมนจู ที่อพยพไปอยู่ประเทศอังกฤษในสมัยพระนางซูสีไทเฮา เขาเกิดที่อังกฤษและรับราชการเป็นทหารเรือในกองทัพอังกฤษ จนได้ยศนายพลเอก และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านเซอร์ด้วย

แพทริกเองก็เกิดที่อังกฤษ เขาเรียนหนังสือระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด สาขาวิชาคณิตศาสตร์ และเอ็มบีเอ ก่อนที่จะออกมาทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาและคิดค้นคอมพิวเตอร์ที่เขาชอบมาก ๆ

ก่อนที่จะมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฮิลเลอร์ แอร์คราฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล แพทริกเคยทำงานอยู่ที่บริษัท เอ็นซีอาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องลงบัญชี เครื่องเอทีเอ็มที่มีชื่อเสียงมากของอเมริกา นาน 11 ปี โดยในช่วงที่เขารับผิดชอบด้านจัดซื้อในฐานะผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เอ็นซีอาร์ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ได้รับยอดเยี่ยมทางด้านการจัดซื้อเมื่อปี 1989

ผลงานส่วนหนึ่งที่ทำให้แพทริกได้รับรางวัลก็คือ เขาสามารถลดค่าใช้จ่ายในการผลิตเครื่องเอทีเอ็มให้ลดลงจากเครื่องละ 27,000 ดอลลาร์ เหลือเพียง 8,000 ดอลลาร์ นอกจากราคาถูกลงแล้ว ยังพัฒนาให้เครื่องมีขนาดเล็กกะทัดรัด รวมทั้งยังสามารถใช้กับภาษาไทย ภาษาจีน หรือภาษาอื่น ๆ ได้ด้วย ทำให้เอทีเอ็มกลายเป็นโกลเบิล โพรดักส์มาถึงปัจจุบัน

แต่เมื่อเอทีแอนด์ทีเทกโอเวอร์เอ็นซีอาร์เมื่อปี 2534 และเอทีแอนด์ทีมีข้อเสนอให้พนักงานเลือกว่าจะทำงานต่อหรือรีไทร์โดยได้รับเงินชดเชย แพทริกจึงตัดสินใจลาออกและอพยพครอบครัวมาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์

ในประเทศไทย เขาได้ถือหุ้นเล็กน้อยในบริษัท สยาม ยูไนเต็ด ไฮเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสยามสตีลกรุ๊ป เพื่อผลิตคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์อะไหล่คอมพิวเตอร์ให้ไอบีเอ็ม นอกเหนือจากการควบคุมดูแลธุรกิจของครอบครัวในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น โรงงานผลิตชิบ เซมิคอนดักเตอร์ ในไต้หวัน และกิจการอื่น ๆ ในสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น จีน

วิถีชีวิตของเขาคงจะได้อยู่กับงานที่เขารักต่อไป ถ้าสแตนเลย์ ฮิลเลอร์ จูเนียร์ จะไม่มีโอกาสพบกับแพทริก ซึ่งเป็นทายาทของเซอร์ จอร์จ ที. เค. ลิมผู้เคยให้การสนับสนุนและร่วมลงทุนรุ่นแรกของฮิลเลอร์ มร.ฮิลเลอร์นี่เองที่ชักชวนให้แพทริกเป็นผู้จัดหาเงินทุนร่วมกับเจฟฟรี ฮิลเลอร์ ลูกชายของเขาจัดตั้งบริษัท สยาม ฮิลเลอร์ โฮลดิ้ง (สหรัฐอเมริกา) เข้าซื้อกิจการของ Rogerson Hiller ซึ่งอยู่ในสภาพซบเซา เมื่อปี 2537 ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท

หลังจากนั้น แพทริกก็ได้ชักชวนเพื่อนคนไทยกลุ่มหนึ่ง จัดตั้งฮิลเลอร์ แอร์คราฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขึ้นในประเทศไทย และเข้าถือหุ้นทั้งหมดของสยาม ฮิลเลอร์ โฮลดิ้ง สหรัฐอเมริกา ทำให้สำนักงานใหญ่ของฮิลเลอร์ย้ายจากอเมริกามาอยู่ที่ประเทศไทยไปโดยปริยาย

"ที่ผ่านมา มีบริษัทต่างชาติหลายบริษัท แสดงความสนใจจะเทกโอเวอร์ฮิลเลอร์ แต่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาแทรกแซงมาตลอด เพราะถือว่าฮิลเลอร์เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อเมริกา สาเหตุที่ผมซื้อได้เพราะเห็นว่า ผมเป็นลูกของผู้ก่อตั้งคนหนึ่ง" แพทริก กล่าว

ความฝันของแพทริกในการเทกโอเวอร์ดรเจอร์สัน ฮิลเลอร์ คือ การพลิกฟื้นสถานภาพของฮิลเลอร์จากเดิมที่เคยเป็นผู้นำในตลาดเฮลิคอปเตอร์ช่วงก่อนปี 1960 ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ในอดีตฮิลเลอร์ได้รับความนิยมและได้รับความเชื่อถือสูงมาก โดยเป็นเฮลิคอปเตอร์ยี่ห้อแรกที่กองทัพสหรัฐฯ สั่งซื้อเข้าประจำการด้วยจำนวนถึง 5,000 ลำ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้พัฒนาเครื่องยนต์เจ็ท ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกันอีกด้วย แต่ปัจจุบันสถานะของฮิลเลอร์ต้องตกเป็นรองเบลล์, แมคโดนัลด์ ดักลาส, และซิคอฟสกี้ เพราะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้บริหารคนใดต้องการทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง บางรายเข้ามาซื้อกิจการ เพราะต้องการนำที่ดินแปลงงาม ๆ ของบริษัทไปขายทำกำไรเท่านั้น

หลังจากเทกโอเวอร์กิจการของฮิลเลอร์สำเร็จ แผนการฟื้นฟูฮิลเลอร์ให้กลับมายิ่งใหญ่เช่นในอดีตก็ได้ถูกร่างขึ้นอีกครั้ง

เริ่มจากการย้ายโรงงานประกอบเฮลิคอปเตอร์ ในสหรัฐอเมริกา จากลอสแองเจลิสมาอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย พร้อมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนละ 4 ลำเป็น 20 ลำ

การลงทุนสร้างโรงงานประกอบแห่งใหม่ในไทย โดยการเช่าที่ดินจากสนามบินหนองงูเห่าจำนวน 100 ไร่มาดำเนินการ ซึ่งนอกจากโรงงานประกอบที่จะมีกำลังการผลิตเดือนละ 20 ลำแล้ว ยังมีส่วนของศูนย์ซ่อมใหญ่ เพื่อรองรับเฮลิคอปเตอร์ของบริษัททั่วเอเชีย (ปัจจุบัน ฮิลเลอร์มีเครื่องบินอยู่ในตลาดโลกที่จะต้องให้บริการซ่อมบำรุงและจัดหาอะไหล่ไว้บริการ) รวมถึงโรงงานผลิตลำตัวเฮลิคอปเตอร์และใบพัด นอกจากนี้ ยังมีบางส่วนไว้เป็นสถาบันฝึกสอนนักบิน

"เราจะมีการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนระหว่างโรงงานในไทยและสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐฯ จะซัพพลายเครื่องยนต์เครื่องยนต์ เกียร์ คลัตช์ และเพลา ขณะที่โรงงานเมืองไทย จะผลิตลำตัวเครื่องบิน ใบพัด เก้าอี้ และประตู ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 30% นี่ยังไม่รวมความได้เปรียบเรื่องค่าแรง ซึ่งประเทศไทยต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาเป็นสิบเท่า" แพทริก กล่าว

ส่วนสุดท้าย คือ การสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งถ้าเป็นจริง ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งใน 2-3 ประเทศในโลกที่คิดและผลิตเฮลิคอปเตอร์ได้เอง โดยทั้งหมดจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 5-10 ปีด้วยงบการลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งในระยะยาวบริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

สำหรับในส่วนของการบริหารนั้น แพทริกมีแนวคิดที่จะทำโครงข่ายการขนส่งผู้โดยสารด้วยเฮลิคอปเตอร์ครบวงจร (Helicopter Transportation Network) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า Helinet ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในโลก

แพทริกยกตัวอย่างของเฮลิเน็ทให้ฟังว่า อย่างในกรุงเทพฯ จะแบ่งออกเป็น 5 โซน คือ ทางเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และศูนย์กลาง ที่ศูนย์กลางจะมี Heliport ขณะที่ในแต่ละโซนจะมี Heliterminal และจะมี Helipad กระจายอยู่ตามชั้นบนของอาคารสูง โรงพยาบาล และโรงแรม เพื่อใช้เป็นจุดรับส่งผู้โดยสารไปยังจุดต่าง ๆ ในอัตราค่าบริการที่ไม่แพง เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์แอร์แท็กซี่

สำหรับต่างจังหวัดก็จะมีเฮลิคอปเตอร์ให้บริการจังหวัดละ 1 ลำ ยกเว้นจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างสงขลา เชียงใหม่ ชลบุรี คงมีมากกว่านี้

โดยแพทริกหวังจะใช้ประเทศไทยเป็นต้นแบบในการเผยแพร่คอนเซ็ปต์ "เฮลิเน็ท" เพื่อเป็นการชักชวนให้นักลงทุนจากประเทศอื่น ๆ สนใจนำไปบริการในประเทศของตน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสด้านการขายและการให้บริการมากขึ้น

"ด้วยหัวใจ ด้วยมันสมอง และความอดทน ผมได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้งานนี้ประสบความสำเร็จให้ได้" แพทริกกล่าวอย่างจริงจัง แม้ว่าทุกวันนี้เขายังต้องเผชิญอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นความล้าสมัยของกฎหมาย ความล่าช้าของระบบราชการอยู่ก็ตาม

แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us