วิจัยพลัสฯ ฟันธงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่หัวหินยังมีความคึกคัก โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังผู้ประกอบการกว่า 10 รายแห่เนรมิตรโครงการใหม่ๆ แต่ก็ยังไม่พอต่อความต้องการของตลาด ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้นรายไตรมาส บริษัท-โบรกเกอร์ยิ้ม เหตุผู้ซื้อมือหนึ่งโดดแจมการขาย หวังกำไรจากส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นกว่า 10-20%
นายกันติทัต มลฑา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ทีมวิจัยของพลัส ได้ลงทำการสำรวจตลาดการซื้อขายอสังหาฯโดยรวมของพื้นที่หัวหินและชะอำ พบว่า ความต้องการ ณ ปัจจุบันยังมีมากกว่าจำนวนยูนิตที่เสนอขายในตลาด จึงเป็นเหตุให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯทั้งในพื้นที่และจากกรุงเทพฯ
ได้มาลงทุนพัฒนาโครงการ ตั้งแต่ราคาหลักแสนปลายๆ ถึงระดับเกิน 10 ล้านบาท ซึ่งจากการสำรวจแสดงให้เห็นว่า มีจำนวนโครงการเปิดขายทั้งสิ้น 18 โครงการ จำนวน 1,363 ยูนิต แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯ 9 โครงการ 878 ยูนิต ( 64% ) โครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการ 485 ยูนิต ( 36% ) ซึ่งคาดว่าคอนโดฯในพื้นที่หัวหินจะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดมีไม่มากนัก ส่งผลให้ราคาขายปรับสูงขึ้นประมาณ 10-20%
โดยหากพิจารณาถึงตลาดบ้านเดี่ยวในหัวหิน พบว่า จากจำนวนยูนิตที่เปิดขายทั้งสิ้น 485 ยูนิต มีจำนวนที่พักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยวกว่า 76% (ประมาณ 369 ยูนิต) กระจายโครงการอยู่ในเขตพื้นที่หัวหิน ที่เหลืออีก 24% (จำนวน 116 ยูนิต) อยู่ในพื้นที่ชะอำ สำหรับรูปแบบโครงการโดยทั่วไปจะมี 2 ลักษณะ กล่าวคือ เป็นโครงการเปิดขายเฉพาะบ้านเดี่ยว และโครงการผสมผสานกับที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ พื้นที่หัวหินมียอดขายคิดเป็น 32 % ของยอดขายทั้งหมด ส่วนพื้นที่ชะอำ มียอดขาย คิดเป็น 59 % ของยอดขายทั้งหมด
สำหรับด้านราคาขาย กลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-7 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตเปิดขายมากที่สุด ทั้งหมด 188 ยูนิต (39%) โดยเป็นโครงการที่มีขนาดแปลงที่ดินอยู่ระหว่าง 129.5-195 ตารางวา และพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 135 -260 ตารางเมตร รองลงมาคือราคามากกว่า 9 ล้านบาท ขนาดแปลงที่ดินอยู่ระหว่าง 61-132 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 197-413 ตารางเมตร มีจำนวน 122 ยูนิต (31%) และราคาตั้งแต่ 3-5 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 94-270 ตารางเมตร มีจำนวน 100 ยูนิต (21%) และน้อยที่สุด คือ ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 110-118 ตารางเมตร จำนวน 27 ยูนิต (6%) ทั้งนี้จะเห็นว่าตลาดบ้านเดี่ยว ณ ปัจจุบัน ระดับราคาขายส่วนใหญ่ อยู่ในช่วง 5-7 ล้านบาท แต่ยังมียูนิตเหลือคงค้าง 61% ส่วนกลุ่มราคาระดับ 3-5 ล้านบาทมีสัดส่วนยูนิตเหลือขายมากที่สุด 73% ในขณะที่กลุ่มบ้านเดี่ยวในระดับราคา 7-9 ล้านบาท มีอัตราส่วนยอดขายสูงที่สุด โดยเหลือขายเพียง 23% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน จะเป็นกลุ่มนิยมบ้านพักตากอากาศชายทะเลมากที่สุด
คอนโดฯราคา7-9หมื่น/ตร.ม.ดีมานด์เพียบ
จากการสำรวจโครงการคอนโดฯในพื้นที่หัวหิน-ชะอำ มีโครงการเปิดขาย 9 โครงการ 878 ยูนิต พื้นที่ชะอำยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด 54% รองลงมาคือ พื้นที่หัวหิน 28% และเขาเต่า 18%
ส่วนภาพรวมของยอดขายมีจำนวนทั้งสิ้น 493 ยูนิต พื้นที่เขาเต่ามีอัตราส่วนยอดขายเฉลี่ย 70 % และมีสัดส่วนเหลือขายเพียง 30% (47 ยูนิต) ส่วนพื้นที่หัวหินมีอัตราส่วนยอดขายในระดับที่ใกล้เคียงกันอยู่ที่ 67% โดยมีสัดส่วนยูนิตเหลือขาย 33% (82 ยูนิต) ขณะที่พื้นที่ชะอำมีสัดส่วนยูนิตคงค้างมากที่สุด 54% (256 ยูนิต) จากจำนวนยอดขายดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณความต้องการยังคงมีต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความผันผวน ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลกระทบอยู่บ้าง
สำหรับด้านราคาขายโครงการคอนโดฯในพื้นที่หัวหินและชะอำ ส่วนใหญ่ราคาขายเฉลี่ย 50,000-70,000 บาทต่อตร.ม. มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดถึง 77% รองลงมาคือระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาทต่อตร.ม. มีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 12 % ของโครงการเปิดขายทั้งหมด และระดับราคา 70,000-90,000 บาท มีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 11 %ของโครงการเปิดขายทั้งหมด และหากพิจารณาด้านยูนิตเหลือขาย พบว่า ในระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตร.ม. เหลือเพียง 19% รองลงมาราคาระหว่าง 50,000-70,000 บาทต่อตร.ม. คิดเป็น 50% ของโครงการเปิดขายทั้งหมด และช่วงราคา 70,000 - 90,000 บาทต่อตร.ม. คิดเป็น 65% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างจะมีความต้องการโครงการคอนโดฯมากที่สุด
ด้านการเปลี่ยนแปลงราคาขายเฉลี่ยนั้น พื้นที่ชะอำปรับขึ้นเฉลี่ยสูงสุด 21% จากเดิม 50,000 บาทต่อตร.ม. เป็น 58,761 บาทต่อตร.ม. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2548 รองลงมาคือ พื้นที่หัวหินมีการปรับราคาขาย 11% จาก 65,000 บาทต่อตร.ม.เป็น 72,239 บาทต่อตร.ม. ขณะพื้นที่เขาเต่าปรับขึ้นประมาณ 10% จาก 60,000 บาทต่อตารางเมตร เป็น 66,000 บาทต่อตร.ม.
" จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณความต้องการของผู้บริโภคในตลาดคอนโดฯยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับราคาปรับตัวสูงขึ้น 10-20% โดยมีแนวโน้มผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของโครงการ นำบ้านมาปล่อยให้เช่ามากขึ้น และการนำบ้านมาฝากขาย เนื่องจากได้ราคาสูงตามการปรับตัวของราคาขายที่ขึ้นประมาณ 10-20% " นายกันติทัตกล่าว
|