แม้ว่าบริษัท ธาดาวิศว จำกัด จะถูกก่อตั้งมานาน 25 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้างมากนัก
ทั้ง ๆ ที่ในอดีตเครื่องปรับอากาศ "แอดมิรัล" (Admiral) ซึ่งบริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายจะได้รับความนิยมอย่างมาก
จนเมื่อต้องเผชิญกับการแข่งขันจากคู่แข่งมากมายหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะแอร์ญี่ปุ่นที่มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าให้มีหน้าตาสวยงาม
พร้อมกับลดต้นทุนการผลิตเพื่อทำราคาสินค้าให้ต่ำที่สุด ในขณะที่มีแอร์บางเจ้าที่ทำการหลบเลี่ยงภาษี
แอร์ "แอดมิรัล" จึงแทบหายไปจากตลาด เช่นเดียวกับชื่อของ "ธาดาวิศว"
หลังจากแฝงตัวเงียบ ๆ อยู่ในตลาดมานาน "ธาดา เธียรประสิทธิ์"
ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งก็เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่บริษัทของเขาควรจะประกาศตัวให้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมากขึ้น
โดยเฉพาะในยุคที่ความน่าเชื่อถือของบริษัทมีความสำคัญต่อการค้าขายอย่างมาก
ๆ เช่นทุกวันนี้
ดังนั้น ในโอกาสของการแนะนำเครื่องใช้ไฟฟ้า "ฟิชเชอร์ แอนด์ ปาร์เกล"
(Fisher & Paykel) เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
การเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกของธาดาวิศวจึงเกิดขึ้น
โดยธาดาเริ่มต้นการแถลงข่าวด้วยการเล่าถึงที่มาของบริษัทว่า หลังจากที่สำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกา
เขาได้มีโอกาสมาดูงานที่โรงงานประกอบเครื่องปรับอากาศเป็นเวลา 1 ปี แล้วจึงกลับมาเป็นผู้จัดการแผนกวิศวกรรมที่บริษัท
กมลสุโกศล จำกัด
"หลังจากที่ทำงานไป 9 ปี ผมก็มาคิดว่าเมื่อมีประสบกาณณ์มากมายเช่นนี้
ประกอบกับมีความพร้อมด้านการเงิน ก็น่าจะเปิดบริษัทเอง เพื่อที่จะได้คิดและทำอะไรได้ตามต้องการ"
ธาดาย้อมอดีตให้ฟัง
เมื่อคิดเช่นนั้น ธาดาจึงลาออกมาตั้งบริษัท แมคแคนนิคัลซิสเตมส์ จำกัด ซึ่งเป็นชื่อเดีวกับบริษัทของเพื่อนคนหนึ่งที่มีแผนจะเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนาม
เพื่อความสะดวกในการร่วมค้าขายกัน แต่ธุรกิจที่เวียดนามต้องล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น
เพราะเกิดสงครามขึ้นเสียก่อน ทำให้ทั้งบริษัทและผู้จัดการที่นั่นสาบสูญไปโดยไม่พบร่องรอยมาจนทุกวันนี้
แม้ว่าจะล้มเหลวในเวียดนาม แต่ธุรกิจของธาดาวิศวในประเทศไทยประสบความสำเร็จมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการรับจ้างติดตั้งเครื่องปรับอากาศทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ซึ่งขณะนั้นยังมีผู้ให้บริการด้านนี้น้อยมาก แต่ในส่วนของการหาสินค้ามาจำหน่ายยังไม่ได้เริ่มขึ้น
จนกระทั่งมีคนได้ลิขสิทธิ์การผลิตเครื่องปรับอากาศแอดมิรัลจากสหรัฐอเมริกาธาดาจึงเข้าไปลงทุนด้วย
เพื่อที่บริษัทจะได้มีสินค้าขาย
เครื่องปรับอากาศแอดมิรัลประสบความสำเร็จในการทำตลาดมาตลอด จนเมื่อรัฐบาลไทยเห็นว่าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
จึงมีการเรียกเก็บภาษีต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
"เนื่องจากเราเสียภาษีแบบตรงไปตรงมา จึงทำราคาสู้บริษัทที่หลีกเลี่ยงภาษีไม่ได้
ทำให้ยอดขายของเราคงที่มาโดยตลอด ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลจะตรวจสอบพวกนี้มากขึ้น
ซึ่งขณะนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของกรมสรรพสามิต กำหนดให้เครื่องปรับอากาศทุกเครื่องติดสติ๊กเกอร์แสดงการเสียภาษีไว้
อีกอย่างผมเป็นวิศวกร ไม่ได้เรียนมาทางค้าขาย เวลาผลิตสินค้าก็จะคำนึงถึงคุณภาพมากกว่าจะคิดถึงเรื่องการลดคุณภาพของชิ้นส่วน
เพื่อให้ได้สินค้าราคาที่ถูกลง" ธาดากล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ธาดาวิศวเสียเปรียบคู่แข่งหลาย
ๆ ราย เพราะมุ่งเน้นแต่สินค้าคุณภาพสูง ๆ มาจำหน่าย ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีราคาแพง
นอกจากปัญหาดังกล่าว การเป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องปรับอากาศอย่างเดียวก็ทำให้ธาดาวิศวมีปัญหา
เพราะเป็นสินค้าที่ขายได้เฉพาะฤดูร้อน ดังนั้น บริษัทจึงต้องปรับตัวด้วยการหาสินค้าอื่นเข้ามาตลาดเสริม
เริ่มจากการนำเครื่องซักผ้าแอดมิรัลเข้ามาขาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
เพราะรูปร่างหน้าตาไม่ดึงดูดใจลูกค้า
แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จกับการทำตลาดเครื่องซักผ้าแอดมิรัล แต่ธาดาวิศวก็มุ่งทำตลาดสินค้าประเภทนี้ต่อไป
โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นเจ้าตลาดเครื่องซักผ้าให้ได้ภายใน 3 ปีด้วยการมีสินค้าที่จำหน่ายถึงทุกกลุ่มเป้าหมายทีเดียว
เริ่มจากตลาดผู้ใช้ตามบ้าน บริษัทมีสินค้าถึง 3 ยี่ห้อให้เลือก คือ "ฟิชเชอร์
แอนด์ ปาร์เกล" จากนิวซีแลนด์ "ติก้า" จากสเปน และ "อิเบอร์น่า"
ส่วน "สปีดควีน" จากสหรัฐอเมริกาจะเจาะตลาดโรงพยาบาล ขณะที่ "แอดมิรัล"
จะเจาะธุรกิจซักรีด
โดยบริษัทคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดเครื่องซักผ้า ซึ่งปัจจุบัน
มียอดขายรวมปีละ 1.5 แสนเครื่อง ภายใน 3 ปีข้างหน้าด้วยกลยุทธ์การเป็น Professional
Supplier คือ ให้บริการเรื่องซ่อมบำรุงและอะไหล่แก่ลูกค้าทุกรายไม่จำกัดเฉพาะสินค้าที่บริษัทเป็นผู้แทนจำหน่ายเท่านั้น
สำหรับเป้าหมายด้านการขายในปีนี้ ธาดา คาดว่า เฉพาะธาดาวิศวจะมียอดขายจากสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นผู้แทนจำหน่ายอยู่
100 ล้านบาท
ปัจจุบัน นอกจากบริษัทธาดาวิศวแล้ว ธาดากรุ๊ปยังมีบริษัทในเครืออยู่อีก
3 บริษัท ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ดำเนินธุรกิจอย่างเงียบ ๆ ทั้งสิ้น คือ บริษัท
ธาดารีเซิร์ส จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยในช่วง 3 ปีแรกเป็นผู้แทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัท
สหวิริยาเป็นหลัก แต่ต่อมาได้หันมาทำธุรกิจการออกแบบ ติดตั้ง และจำหน่ายระบบเสียงครบวงจรทั้งระบบประกาศ
ระบบห้องประชุม ระบบโรงภาพยนตร์ในบ้าน ระบบคาราโอเกะ ระบบเสียงในเวที เป็นต้น
ซึ่งปีหนึ่งมีรายได้ประมาณ 50 ล้านบาท
อีก 2 บริษัทที่เหลือ คือ บริษัท ไฮเปอร์ฟอร์แมนซ์ จำกัด ดำเนินการด้านการจัดซื้อจัดหาจำหน่ายอะไหล่เครื่องปรับอากาศ
และบริษัท ธาดา ไฮเทค เซอร์วิส จำกัด ดำเนินกิจการด้านบริการติดตั้ง ซ่อมสินค้าให้กับลูกค้าเครือธาดากรุ๊ปทั้งหมด
ซึ่งมีรายได้บริษัทละ 5 ล้านบาทต่อปี
โดยมานน เธียรประสิทธิ์ บุตรชายคนโตของธาดา ซึ่งเข้ามาช่วยคุณพ่อทำงานเมื่อ
10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของกลุ่ม กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานของธาดากรุ๊ปในอนาคตว่า
เนื่องจากบริษัทตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น 2 อย่าง คือ การที่โลกหันมาสนใจเทคโนโลยีเพื่อสภาพแวดล้อม
และการเกิดขึ้นของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทำให้บริษัทกำหนดบทบาทของบริษัทไว้ดังนี้
หนึ่ง - การเป็นตัวเชื่อมระหว่างสังคมไทยกับเทคโนโลยีที่ดีทั่วโลก ซึ่งหมายถึงการคัดเลือกสินค้าที่มีเทคโนโลยีดี
ๆ มาให้คนไทยได้เลือกใช้ และในทางกลับกัน คือ การส่งเสริมเทคโนโลยีของคนไทยต่อสังคมโลก
สอง - เน้นการให้บริการแก่ผู้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุก ๆ ยี่ห้อในฐานะที่เป็น
Technical Center ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักและไว้เนื้อเชื่อใจของลูกค้ามากขึ้น
และสุดท้าย คือ การเน้นฝึกอบรมพนักงานของบริษัทให้ก้าวขึ้นมาเป็นมืออาชีพ
เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต
ฟังดูก็รู้ว่า ยังยึดแนวคุณพ่อเหนียวแน่นทีเดียว