Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 พฤษภาคม 2549
หุ้นเด้ง 14 จุดรับโมฆะ เอกชนลุ้นผ่านวิกฤต             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยบวก 14.69 จุด ทำสถิติสูงสุดรอบ 18 เดือน ตอบรับศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย. เป็นโมฆะ และให้มีการเลือกตั้งใหม่ นักวิเคราะห์ชี้เป็นการผ่าทางตันการเมืองทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ ด้านนายแบงก์แนะเอกชนปรับตัวรับสถานการณ์ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยง

ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (8 พ.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ทำให้มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 2 ปี 4 เดือน ปิดที่ระดับสูงสุดของวันที่ 782.91 จุด เพิ่มขึ้น 14.69 จุด หรือ เพิ่มขึ้น 1.91% มูลค่าการซื้อขาย 20,549 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,329.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 151.62 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,480.88 ล้านบาท

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (8 พ.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือน (18 เดือน) เนื่องจากมีปัจจัยบวกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจัยภายในประเทศ คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาขัดต่อรัฐธรรมนูญและให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นการผ่าทางตันทางการเมืองในขั้นแรก ดังนั้นนักลงทุนจึงเข้ามาช้อนซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานที่ดี เช่น กลุ่มธนาคารทำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% และกลุ่มสื่อสารที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.23%

ขณะที่ ปัจจัยภายนอกประเทศได้แก่ การที่ตลาดหุ้นต่างประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และเงินบาทแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ระดับ 37.49 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เม็ดเงินต่างประเทศไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากปัจจัยการเมืองคลี่คลายและเม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่จะได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน โดยมองแนวรับที่ระดับ 775-778 จุด และแนวต้นที่ 788.798 จุด

**เตือนแรงขายทำกำไรระยะสั้น

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า นอกจากปัจจัยการเมืองที่เริ่มคลี่คลายแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ลดลง ทำให้ไม่ต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวในระยะยาว ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในภูมิภาคระยะยาวเพิ่มมากขึ้น แต่ระยะสั้นอาจมีการขายทำกำไรบ้าง

นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. พัฒนสิน กล่าวว่า การที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงแรงอย่างกลุ่มแบงก์ กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มสื่อสาร รวมถึงหุ้นเก็งกำไร และหุ้นกลุ่มรับเหมา น่าจะได้รับผลดี หากเรื่องการเมืองจบลงเร็ง และโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานสามารถดำเนินงานได้

ทั้งนี้ มองว่าจากการที่จะมีการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 10 พ.ค. นี้ อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวถึงจุดสูงสุด และทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยเรื่องราคาน้ำมัน ที่จะต้องรอการประชุมของสหประชาชาติในวันที่ 9 พ.ค. ว่าจะมีผลออกมาอย่างไร ซึ่งหากมีการคว่ำบาตรอิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันขึ้น และหุ้นกลุ่มน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ ADVANC หากหากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) อนุมัติให้มีการใช้ค่าเชื่อมโยงเครือข่าย จะส่งผลให้ ADVANC ได้รับประโยชน์ที่สุด เนื่องจากมีเครือข่ายมากที่สุด รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือจะได้รับประโยชน์เช่นกัน

อย่างไรก็ดี คาดว่าใน 1-2 เดือนนี้ ดัชนีอาจสามารถปรับตัวแตะที่ระดับ 800 จุด ได้ แต่หากไม่จะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลง และในวานนี้ (8 พ.ค.) ดัชนีปรับตัวสูงสุดในรอบปี และปรับตัวสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2547 เป็นต้นมา

แนวโน้มวันนี้ (9 พ.ค.) ดัชนีปรับตัวแกว่งขึ้นในกรอบแคบๆ โดยต้องรอผลการตัดสินจากสหประชาชาติเรื่องของอิหร่าน โดยประเมินแนวรับที่ 773 จุด แนวต้านที่ 794 จุด

**หุ้นไปต่อแนวต้านอยู่ที่ 790 จุด

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นการปรับตัวตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการให้เลือกตั้งใหม่ แต่มี ADVANC เป็นตัวนำตลาด เนื่องจากเรื่องของยอดลูกค้าใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น และหากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) อนุมัติค่าเชื่อโยงเครือข่าย ส่งผลให้มีกำไรประมาณ 2 พันล้านต่อปี

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยมองแนวรับอยู่ที่ 775 จุด แนวต้านที่ 790 จุด โดย แนะนำลงทุนกลุ่มพลังงาน สื่อสาร โดยเฉพาะ ADVANC โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 115 บาท และ TRUE ราคาเป้าหมาย 12 บาท และMINT 13.25 บาท

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดยอมรับได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้อาจจะต้องใช้เวลาเพิ่มมากขึ้น แต่ถือว่ามีความชัดเจนเช่นกัน ซึ่งในช่วงนี้อาจทำให้รัฐบาลรักษาการเคลื่อนไหวได้ไม่มาก โดยในระยะสั้นมีปัจจัยที่ต้องแก้ไข เช่น การที่เศรษฐกิจชะลอตัว ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติ เพราะเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างเร่งด่วน และที่สำคัญอาจต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ซึ่งนโยบายของรัฐบาลชุดที่จะเข้ามาก็ต้องรอดูว่ามีนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ และเปลี่ยนแปลงอย่างไร

"การเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้ อาจทำให้รัฐบาลมีความสมดุลขึ้นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงความเชื่อมั่นที่มีกลับมา และที่สำคัญการที่นายกทักษิณ ชินวัตร จะเว้นวรรคทางการเมืองหรือไม่ ถือเป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจ มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่อย่างไรรัฐสภาต้องดำเนินการไปตามกลไก โดยรัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาปรับปรุงปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ" นายสุกิจ กล่าวว่า

**โฆสิตแนะรับมือปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า การตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญทำให้สถานการณ์คลี่คลายมากขึ้น และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่จะทำให้การเลือกตั้งมีความสมบูรณ์แบบ ส่วนระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับการเลือกตั้งใหม่ ถือว่าคุ้มกับการรอ

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังมีความเสี่ยงมากขึ้นทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ อาทิ ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นนักธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ เพราะปัจจุบันรัฐบาลที่บริหารประเทศเป็นรัฐบาลรักษาการอาจจะมีข้อจำกัดในการบริหารประเทศ

นายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TBANK กล่าวว่า เรื่องนี้จะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุน รวมทั้งทำให้ปัญหาการเมืองมีทางออกที่ดีขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us