หุ้นซีวีดีฯ ผันผวนรับข่าวผลงานไตรมาสแรกลดฮวบจากปีก่อนถึง 45% เหตุยอดขายและกำไรขึ้นต้นลดลง อันเป็นผลกระทบจากยอดขายตามฤดูกาล อีกทั้งผลกระทบของลิขสิทธิ์จากค่ายหนังเมเจอร์ที่สูงขึ้น ด้านบล. กิมเอ็ง : CVD แนะนำขายทำกำไร ให้ราคาเหมาะสมแค่ 21.90 บาท เพราะยังได้รับแรงกดดันจากสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์บริษัท ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CVD ล่าสุด ( 4 พ.ค.) ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า เนื่องจากนักลงทุนทิ้งหุ้นออกมาหลังจากที่บริษัทได้ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิลดลงค่อนข้างมาก จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 21.50 บาท หรือลดลงถึง 2.79%

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มทุน แต่ปริมาณการซื้อขายที่มีเข้ามาไม่มากนัก โดยปิดการซื้อขายในราคาสูงสุดประจำวันที่หุ้นละ 22.10 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาปิดครั้งก่อน ปริมาณการซื้อขาย 325,800 หุ้น มูลค่าการซื้อขายรวม 21.50 บาท

นายประสาร มาลีนนท์ กรรมการ บริษัท ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CVD กล่าวถึง ผลประกอบการไตรมาส 1 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 11.29 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 20.70 ล้านบาท หรือลดลง 45% หรือลดลง 59% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 48

โดยสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลง เกิดจากการลดลงของยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจหลัก (CVDI) คือ รายได้ของบริษัทลดลง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 12% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบของยอดขายตามฤดูกาล

ขณะที่ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบของค่าลิขสิทธิ์จากค่ายหนังเมเจอร์ที่สูงขึ้น

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 12% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพของสินทรัพย์ เช่น ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและลดลง 1% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน

ส่วนฐานะการเงินนั้น บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในส่วนของลูกหนี้การค้า และสินค้าคงเหลือสินทรัพย์รวมของบริษัท มีรายการหลักคือ เงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราว คิดเป็น 46% ของสินทรัพย์รวมซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 94% ประกอบด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน เงินฝากกับสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐหนี้สินรวมของบริษัท มีรายการหลักคือ ค่าลิขสิทธิ์ค้างจ่ายคิดเป็น 41% ของหนี้สินรวม

ขณะที่กระแสเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน สำหรับงวด 3 เดือนลดลง 61 ล้านบาท หรือ 86% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน และลดลง 6.6 ล้านบาทหรือ 39% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากมีการใช้กระแสเงินสดไปในสินทรัพย์ดำเนินงานเพิ่มขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ยอดขายและกำไรสุทธิที่ลดลง เกิดจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ออกจำหน่าย โดยภาพยนตร์ในไตรมาสนี้ ได้แก่ Chicken Little, Legend of Zorro, Transporter 2, Flight Plan และ Into the Blue ขณะที่ต้นทุนค่าลิขสิทธิ์กลับเพิ่มสูงขึ้นหลังการต่อสัญญากับบางค่ายภาพยนตร์ในปีก่อน

ทั้งนี้ กิมเอ็งฯ ยังคงประมาณการเดิมที่คาดว่ากำไรสุทธิของ CVD ในปีนี้จะเท่ากับ 71 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.19 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% โดยมีปัจจัยผลักดันมาจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่จะทยอยออกจำหน่าย เช่น The Chronicles of Narnia : The Lion, The Witch and The Wardrobe, Pirates of the Caribbean 2, X-Men 3, The Da Vinci Code และ Jame Bond 007 : Casino Royale

สำหรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มของนายเผด็จ หงษ์ฟ้า ขายหุ้นประมาณ 7 ล้านหุ้น หรือประมาณ 22% ให้ครอบครัวมาลีนนท์ ในราคาหุ้นละ 27 บาท ขณะนี้ยังไม่การการเปลี่ยนแปลงในด้านแผนงานและกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทที่ชัดเจนแต่อย่างใด

จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น จึงแนะนำให้ขายทำกำไรหุ้น CVD แม้ว่า CVD จะมีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงเนื่องจากมีฐานะการเงินที่ดี แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาเกินราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ 21.90 บาทแล้วโดยซื้อขายอยู่ที่ PER 10.1 เท่า ขณะที่การเติบโตของบริษัทยังถูกกดดันจากสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์