|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"กิตติรัตน์" ห่วงการเมืองพ่นพิษใส่เศรษฐกิจ หวั่นต้องเจอปัญหาราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีกำลังซื้อหรือ "เงินฝืดราคาเฟ้อ" กระทบความมั่นใจนักลงทุน ลั่นเป็นห่วงรายย่อย เผยเป้าหมายเปลี่ยนแปลงหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ "มนตรี ศรไพศาล" บิ๊กบล.กิมเอ็ง ยอมรับความสับสนทางการเมืองกระทบหุ้นแรงสุด เตือนนักลงทุนอย่าวิตกกับปัจจัยลบจนเกินไป เตือนนักลงทุนที่หวังเล่นหุ้นหวือหวาเหมือนการพนันต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันว่า ความร้อนแรงของสถานการณ์ทางการเมืองที่แม้จะมีที่ท่าว่าจะลดความรุนแรงลงไปได้ แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดทุน ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามาในตลอดช่วงประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยในประเทศนอกเหนือจากความกังวลที่สะท้อนออกมาจากแรงขายของนักลงทุนรายย่อย ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อหรือเงินฝืดเป็นสิ่งที่จะบ่งชี้ถึงภาวะการเศรษฐกิจประเทศได้ดี
"ขณะนี้ยังไม่อาจจะสรุปได้ชัดเจนว่าขณะนี้ประเทศของเราจะเดินทางไปสู่ปัญหาจากเงินเฟ้อ หรือเงินฝืดอย่างไร สิ่งที่ผมห่วงที่สุด หากสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงปัจจัยลบต่างๆไม่คลี่คลายโดยเร็ว คือ ปัญหาเงินฝืดราคาเฟ้อหรือ Stagflation ซึ่งหมายถึงราคาสินค้าที่เฟ้อขึ้นในขณะคนไม่มีกำลังที่จะซื้อ เนื่องจากยังคงไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาของประเทศไทยเรื่องดังกล่าวยังไม่เคยเกิดขึ้น หากยังไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เรื่องเงินฝืดราคาเฟ้อ อาจจะเกิดขึ้นก็ได้"นายกิตติรัตน์กล่าว
สำหรับแนวทางการแก้ไขเพื่อไม่ให้ปัญหาที่กังวลต้องเกิดขึ้นหลายฝ่าย หลายกลุ่มจะต้องเร่งเดินหน้าเข้าหากัน ซึ่งหากวันหนึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จะได้เห็นการต่อสู้ ดิ้นรนของประชาชนในประเทศเพื่อความอยู่รอดของตัวเองอย่างแน่นอน หนทางในแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความสงบของสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอย่างหนึ่งคือ สปิริตของผู้ที่อยู่กันคนละฟากทางการเมืองที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน ต้องมาร่วมมือกันเพื่อใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา และก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสถึงให้คนในประเทศหาแนวทางที่สันติวิธีเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ส่วนปัจจัยลบที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนช่วงที่ผ่านมาอาจจะส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ ประมาณการ การตั้งเป้าในเรื่องต่างๆ ของหน่วยงานทางราชการ หน่วยงานภาคเอกชน ร่วมถึงตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหากปัจจัยลบที่คาดการณ์ไม่สามารถหาข้อสรุปได้โดยเร็ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดูเป้าหมายหรือการคาดการณ์ในเรื่องต่างๆ ที่มีการกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ เพราะทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันรวมถึงปัจจัยลบต่างๆที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยเป็นสิ่งที่นักลงทุนจะต้องทำความเข้าใจว่าคือความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการลงทุน แต่สิ่งที่สำคัญคือนักลงทุนจะต้องไม่ตกใจกับเรื่องต่างๆจนเกินไป
ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การเลือกสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาถือว่าเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องเข้าใจ ในจังหวะที่มีข่าวดีเข้ามาเป็นปัจจัยบวกอย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะขายหุ้นที่ถือครองออกมา ในขณะเดียวกันเวลาที่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบตลาดหุ้นอาจจะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่นักลงทุนควรจะเข้าไปลงทุน
"การเลือกลงทุน เลือกประเภท สัดส่วนการลงทุนเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องรู้ต้องเข้าใจ นักลงทุนมักจะตกลงกับข่าวหรือปัจจัยลบต่างๆ มากจนเกินไป ซึ่งความไม่นอนเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันความสับสนทางการเมืองเป็นปัจจัยลบที่เด่นที่สุด"นายมนตรีกล่าว
สำหรับการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่คลี่คลาย ยังคงเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยากเพราะตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ยังเล็กการไหลเข้ามาของเงินทุนยังเป็นเรื่องที่ไม่ยาก
นายมนตรี กล่าวอีกว่าการเลือกลงทุนสะท้อนถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนได้ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนกับหุ้นที่มีพื้นฐานดีได้ซึ่งในตลาดหุ้นไทยก็มีหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ความเสี่ยงไม่สูงมาก แต่นักลงทุนบางกลุ่มอาจจะต้องการเลือกลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนเหมือนการเล่นการพนัน ซึ่งความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเหล่านั้นก็จะสูงตามผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเช่นกัน
"หุ้นที่มีผลตอบแทนสูงก็จะมีความเสี่ยงสูง ตลาดหุ้นไทยยังมีหุ้นดีๆอีกเยอะที่ให้เราเลือกลงทุนได้ เราต้องเลือกว่าจะลงทุนหรือจะพนัน"นายมนตรีกล่าว
|
|
|
|
|