Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์8 พฤษภาคม 2549
3ทศวรรต"หุ้น"พระเอกให้ผลตอบแทนสูงสุด ฝ่าวิกฤตผันผวนแต่รายได้งามกว่าทอง-พันธบัตร             
 


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Stock Exchange
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ




3ทศวรรตที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้น ได้สร้างผลตอบแทนสูงสุดถึง 2,900% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่งดงามเมื่อเทียบกับ พันธบัตร ทองคำ และเงินสด เมื่อเทียบช่วงระยะเวลาเดียวกัน ด้วยปัจจัยและตัวแปรที่ไม่ต่างกัน อย่างวิกฤติเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน แม้ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้หุ้นแปรปรวน เงินทุนไหลไปยังพันธบัตร ทองคำ หรือเจ้าของกำเงินสดไว้ในมือก็ตาม แต่เมื่อเฉลี่ยผลตอบแทนออกมาในระยะเวลา 30 ปี หุ้นกลับเป็นพระเอกที่ทำผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำมากสุดภายใต้ความผันผวนและความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน

การลงทุนกับความเสี่ยงและผันผวนที่สูงอย่าง "หุ้น"ยามนี้ดูจะไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมนัก ด้วยความผันผวนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่เป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นแกว่งตัว เซไปเซมาเหมือนคนเมา ที่แม้แต่นักลงทุนผู้แสวงหาโชคลาภรายย่อยในตลาดหุ้นที่ยังไม่ชำนาญหรือมีทักษะเก่งกล้าก็ยังรู้ดีว่า จังหวะและเวลาเช่นนี้ไม่ควรยิ่งนักที่จะหาเรื่องใส่ตัวเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่า ถ้าจะลงทุนแบบเสี่ยงเล่นเก็งกำไรในระยะสั้นช่วงนี้ ก็ย่อมพบกับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงเป็นธรรมดา แต่ถ้าคิดลงทุนหรือถือหุ้นไว้ระยะยาว ผลตอบแทนดังกล่าวย่อมมีความแน่นอนและเสี่ยงน้อยกว่า

"อย่างการศึกษาของสายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ตลท.ได้ศึกษาผลการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้น โดยใช้ข้อมูลในระยะเวลา 30 ปี ตั้งแต่ 2518-2548 วิจัยได้ผลออกมาว่าการลงทุนในหุ้นช่วงเวลา 30 ปีนั้นให้ผลตอบแทนได้สูงถึง 2,900%"

ยกตัวอย่างถ้าในปี 2518 ลงทุนในหุ้น 1,000บาท จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 29,000 บาทในปี 2548 ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงสุดเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์ประเภทอื่น อีกทั้งในรายงานยังระบุว่า การลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลา 2 ปี ความน่าจะเป็นไปได้ที่ผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรคิดเป็น 53%และสูงขึ้นเป็น 59% หากลงทุนเป็นระยะเวลา 5 ปี

รายงานดังกล่าวยังได้ศึกษาถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นอย่างพันธบัตร เงินสด และทองคำที่ราคายามนี้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25ปี ก็ตาม แต่เมื่อย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว ผลตอบแทนจากสินทรัพย์กลุ่มนี้ยังไม่อาจเทียบเท่ากับหุ้น โดย พันธบัตร ให้ผลตอบแทนคิดเป็น 1,825% เงินสด 800% และทองคำ 150 %

เศรษฐพุฒิ บอกอีกว่า ตัวเลขของผลตอบแทนที่ออกมาไม่ได้หมายความว่าการลงทุนในหุ้นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในบางช่วงเวลาการลงทุนในหุ้นก็สร้างผลตอบแทนได้ติดลบ หรือต่ำสุดได้เช่นกัน เพียงแต่ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นเพียงภาพรวมในช่วงระยะเวลา 30ปีที่หน่วยงานสายวิจัยและข้อมูลสารสนเทศต้องการแสดงให้เห็นเท่านั้น

เพราะถ้าแบ่งตามช่วงของเวลาอย่างวิกฤติการณ์การเงินในปี 2540-2544 หุ้นสร้างผลตอบแทนได้ต่ำที่สุด เพราะเป็นหลักทรัพย์ที่อ่อนไหวกับตัวแปรที่เข้ามากระทบได้ค่อนข้างง่าย เมื่อเทียบกับหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนในอัตราที่คงที่ แต่หลังจากภาวะดังกล่าวผลตอบแทนที่ได้จากหุ้นก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยรับจากหลังวิกฤติเป็นต้นมาคือ ปี 2545-2548 หุ้นเป้นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงสุดอีกครั้งโดยเฉลี่ยที่ 20% ในขณะที่สินทรัพย์ประเภทอื่นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีไม่เกิน 7%

"ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแม้ระยะยาวหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่สูงสุดเทียบกับพันธบัตร ซึ่งสูง 1.5 เท่า และเทียบกับเงินฝากสูงถึง 3 เท่า ก็ตาม แต่ในยามที่มีตัวแปรต่าง ๆ เข้ามา อย่างภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ นโยบายต่าง ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความอ่อนไหวต่อตลาดหุ้น"

ดังนั้นตลาดหุ้นจึงมีความอ่อนไหวมากที่สุด ซึ่งแค่เพียงเสียงกระสิบจากลมก็ป่วนตลาดได้เป็นวันเป็นเดือนแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ เศรษฐพุฒิ ได้กล่าวว่า "ผู้ลงทุนจึงต้องเผชิญกับความผันผวนของผลตอบแทนจากหุ้นในบางช่วงเวลา แต่ถ้าคิดจะลดความเสี่ยงอาจเลือกลงทุนในระยะยาว ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องถือถึง 30 ปี อย่างที่บทวิเคราะห์รายงานว่าสร้างผลตอบแทนได้ถึง 2,900%"

"ส่วนการลงทุนจะเป็นในรูปแบบใดนั้นก็สุดที่จะห้ามได้ เพราะบางรายก็ยังคงชอบความเสี่ยงและความท้าทาย ในขณะที่บางรายก็ไม่อยากเสี่ยงมาก ซึ่งหลักทรัพย์ที่ไม่เสี่ยงมากนอกจากลงทุนในพันธบัตรแล้ว การลงทุนในหุ้นระยะยาวก็ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วย"

เศรษฐพุฒิ เล่าว่า หลักทรัพย์ทุกประเภทมีความเสี่ยง พันธบัตรเองก็ได้รับความเสี่ยงเช่นกันยามที่ดอกเบี้ยอยู่ช่วงในขาขึ้น เช่นเดียวกับทองคำและน้ำมัน ที่ทุกวันนี้ที่ราคาพุ่งขึ้นสูงไม่ใช่มาจากความต้องการเท่านั้นแต่ยังเป็นผลมาจากการเล่นเก็งกำไรของนักลงทุนอีกด้วย

อย่างเรื่องของทองคำ เคยมีนักวิชาการกล่าวว่า เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างนิ่ง อย่างเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในอดีตยังไม่เหยียบหมื่นบาท แต่ ณ วัน 2 พฤษภาคมตกอยู่ที่บาทละ 11,400 บาท ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยปกติที่ผ่านมานั้นราคาทองคำจะขึ้นสูงก็ต่อเมื่อมีปัจจัยเรื่องของเงินที่มีค่าต่ำลง หรือภัยสงคราม ณ เวลาดังกล่าวราคาทองคำจะมีค่ามาก แต่ปัจจุบันราคาที่พุ่งขึ้นสูงเป็นผลมาจากการเล่นเก็งกำไร

3 ทศวรรตที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นดูจะเป็นภาพที่ให้ผลตอบแทนสวยงามมากที่สุดเมื่อเทียบกับ พันธบัตร เงินสด หรือทองคำก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ เศรษฐพุฒิ ย้ำไว้ก็คือ ผลงานวิจัยดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ภาพรวมใน 30 ปี และใน 30 ปีนี้ก็มีบางปีที่หุ้นให้ผลตอบแทนต่ำสุดได้เช่นกัน

ดังนั้นเรื่องของการลงทุนในหุ้นจึงไม่ได้หมายความ100%ว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดเสมอไป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us