ไทยชง เพิ่มรูปแบบลงทุนต่ำ 38,000 บาท สอดรับผลวิจัยพบฐานผู้ประกอบการใหม่ตัดสินใจเริ่มธุรกิจที่ระดับ 30,000 เศษมีจำนวนมากที่สุด ชูจุดเด่นร้านด้วยเคาท์เตอร์เปิดโล่ง ปรับขนาดความกว้าง สูงได้ตามทำเลที่ตั้ง ชี้โอกาสธุรกิจกาแฟยังมีสูงกำไรต่อแก้วให้ได้ถึง 6 บาทหรือ 45% ไม่หวั่นตลาดแข่งเดือนคุมคุณภาพวัตถุดิบมาตรฐานบ้านใร่กาแฟ ตั้งเป้าลุยเปิดครึ่งปี 49 ที่ 20 สาขา พร้อมผนึกพันธมิตรโลตัส เอ็กเพรส มั่นใจสร้างรายได้เพิ่มเป็น 12 ล้านบาท
วีระยุทธ บุตรพรหม ผู้จัดการภาคไทยชง บริษัทออกแบบไร่นา(ประเทศไทย)จำกัด เปิดเผย "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ว่า ล่าสุดได้เปิดตัวไทยชงในรูปแบบใหม่ลักษณะเคาท์เตอร์ มูลค่าการลงทุน 38,000 บาทพร้อมอุปกรณ์การขาย วัตถุดิบ สามารถจำหน่ายได้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ขณะที่เมนูเท่าเดิมคือ 6 เมนู กาแฟ ชาอัสสัม ชาเขียวใบม่อน ชาแดงดอกกระเจี๊ยบ โกโก้และน้ำหวาน ซึ่งเป็นการลดไซส์การลงทุนลงเท่านั้น จากเดิมการลงทุนที่ 55,000 บาทลักษณะรถเข็นและวัตถุดิบที่สามารถขายได้นานกว่า
ทั้งนี้การปรับลดขนาดการลงทุนลงนั้น วีรยุทธ ให้เหตุผลว่า ทั้งนี้จากผลการวิจัยของบริษัทพบว่าฐานผู้ลงทุนระดับ 30,0000 บาทต้นๆ เป็นฐานที่ใหญ่ และธุรกิจแฟรนไชส์ในระดับ 35,000-38,000 บาท ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสูง
"เรามองว่านอกจากผู้ที่มีเงินลงทุน 38,000 บาท กับธุรกิจกาแฟไทยชงมีความคุ้มค่ามาก และเป็นธุรกิจที่คืนทุนกว่า เปรียบเทียบเงินลงทุน 38,000 บาท ยอดขายวันละ 100 แก้ว ค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท ขาย 30 วัน ขายได้เดือนละ 3,000 แก้ว กำไรต่อแก้ว กรณีเจ้าของขายเองกำไรต่อแก้ว 6 บาท (ราคาขายปรุงนม 15 บาท ปรุงน้ำตาล 12 บาท) มีกำไรต่อเดือนประมาณ 12,000 บาท 3 เดือนคืนทุน กรณีมีทำเลหน้าบ้านก็ไม่ต้องมีค่าเช่า"
และยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อการชะลอการตัดสินใจของผู้ที่จะเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบเงินลงทุนไทยชง 38,000 บาท สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ว่าสร้างรายได้ให้กับคนทำงานและสร้างโอกาสให้กับคนไทยได้เป็นเจ้าของธุรกิจ ฉะนั้นราคาดังกล่าวจะเข้าใกล้กลุ่มผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ หรือเจ้าของดำเนินการเอง
เช่นเดียวกับนโยบายที่กำหนดว่า การสร้างรายได้จะถูกบรรจุในค่าแรงผู้ขาย เช่น พนักงานขาย 1 คน ได้รับตามค่าแรงขั้นต่ำ (185 บาทต่อวัน) และถ้าขายได้เกินจากนี้กำไรต่อแก้ว 6 บาทจะต้องหารครึ่งหรือจ่ายให้กับพนักงาน 3 บาท ซึ่งเป็นการสกรีนผู้ที่ลงทุนต้องไปขายเอง เพราะแรงจูงใจจากกำไรที่สูงมากหรือมีกำไรต่อแก้วประมาณ 45% และการที่ต้องแบ่งกำไรผู้ขายนั้นเพื่อสร้างแรงจูงใจในการขาย ซึ่งเป็นหลักการบริหารพนักงานขายให้เกิดความตั้งใจ
วีระยุทธ ยังกล่าวถึงจุดเด่นของรูปแบบเคาท์เตอร์ ว่า มีลักษณะที่เปิดโล่ง ขนาดความกว้าง 1.20 ม. สูง 1.90 ม. สามารถถอดประกอบหรือลดขนาดความสูงลงได้ เหมาะกับพื้นที่แคบทำเลที่อยู่ในอาคารหรือหน้าอาคารห้างร้านต่างๆ กระทั่งในห้างสรรพสินค้าวัดขนาดพื้นที่ในการกำหนดราคาค่าเช่า โดยลักษณะการตกแต่งที่เน้นโชว์สินค้าและเมนูเป็นหลัก สอดคล้องนโยบายที่ไม่กำหนดเพศ วัย ของผู้ขาย
เขามองว่า ไทยชงในรูปแบบการลงทุนที่ 38,000 บาจะเป็นการกระตุ้นกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง เพราะสามารถตัดสินใจได้ง่ายกว่า ขณะเดียวกันไม่เป็นการแชร์ตลาดผู้ลงทุนระดับ 55,000 บาท หรือรูปแบบเดิม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีธุรกิจอยู่แล้วที่ต้องการสร้างรายได้เสริมหรือขยายธุรกิจเพิ่ม หรือพอใจในภาพลักษณ์ของการตกแต่งร้านลักษณะรถเข็น หรือสอดคล้องกับพื้นที่ที่ตั้งมากกว่า
"อย่างที่กล่าวมาว่าลงทุน 38,000 บาท เป็นการลดไซส์การลงทุนและปริมาณอุปกรณ์ ขายในระยะสั้นลงเท่านั้น โอกาสการเพิ่มในอนาคตสู่การลงทุน 55,000 บาท ก็เป็นไปได้สูงเพราะขายได้นานกว่า ด้วยจำนวนวัตถุดิบที่จัดเพิ่มให้ แต่ที่ลงทุนถูกกว่าเป็นการลดคอร์สในส่วนของรูปแบบเคาท์เตอร์ที่มีต้นทุนถูกกว่ารถเข็น"
ซึ่งคาดว่าหลังการเปิดตัวไทยชงราคา 38,000 บาทในเดือนกรกฎาคม 2549 นี้ คาดตัวเลขสิ้นปีไม่ต่ำกว่า 20 สาขา ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อสกรีนผู้ที่จะเข้ามาลงทุนและทำเลเป็นส่วนสำคัญ นอกจากวัตถุดิบคุณภาพที่บริษัทได้จัดหาให้
เขากล่าวถึงโอกาสธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟไทยชงว่า ปัจจุบันยังไม่คู่แข่งโดยตรง แม้จะมีคู่แข่งทางอ้อมคือกาแฟโบราณที่มีราคาขายเฉลี่ย 10-12 บาทต่อแก้ว ขณะที่ไทยชงราคาสูงกว่าหรือ 15 บาทต่อแก้ว แต่ด้วยคุณภาพกาแฟจากบ้านใร่กาแฟที่เป็นบริษัทแม่ ความสะอาดและการบริการ ความหลากหลายของเมนู ในหลายพื้นที่ไทยชงสามารถแชร์ส่วนแบ่งการตลาดและมียอดขายที่สูงกว่า และผู้บริโภคมีทุกระดับเพราะเชื่อมั่นในแบรนด์ภายใต้นโยบายการบริหารงานของบ้านใร่กาแฟ
"ในความสำเร็จของผู้ประกอบการไทยชงมีสูงถึง 80% อีก 20% ที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเกิดจากผู้ประกอบการเอง ที่พบส่วนใหญ่เป็นการลดต้นทุน เช่น ปริมาณกาแฟที่ให้กับลูกค้าลดลง ทำให้รสชาติเปลี่ยน รับนโยบายการจ่ายกำไรครึ่งหนึ่งให้กับลูกจ้างไม่ได้และตนเองก็ไม่มีเวลาให้กับธุรกิจเต็มที่ ซึ่งเราจะสกรีนแนวความคิดในการทำธุรกิจมาประกอบการตัดสินใจในการขายแฟรนไชส์ด้วย"
วีระยุทธ ได้กล่าวถึงแผนงานของไทยชงในปี 2549 ว่า จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านบาท จากรายได้ 4 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ด้วยการขยายสาขาทั้งรูปแบบเงินลงทุน 38,000 บาท และ 55,000 บาท ซึ่งปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์ 85 สาขา สาขาบริษัทลงทุนเอง 20 สาขา
โดยขณะนี้ได้เพิ่มโมเดลใหม่ที่จะขยายสู่ โลตัส เอ็กเพรส ได้เปิดดำเนินการสาขาแรกแล้วที่คลอง 6 ซึ่งโอกาสในในอนาคตเป็นไปได้ที่จะเป็นพันธมิตรร่วมกับโลตัส เอ็กเพรส ในทุกสาขาๆ
|