|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เดอะ โอเอซิส กรุ๊ปเชื่อธุรกิจสปาในไทยยังสดใส โดยคาดปีนี้เติบโต 30% ได้ฤกษ์เตรียมบุกเปิดสปาในกรุงเทพฯย่านสุขุมวิทในช่วงปลายปี มั่นใจจุดแข็งวัฒนธรรมการบริการแบบล้านนาเป็นจุดขาย ระบุไฮไลต์เด่นปีนี้งานพืชสวนโลกกระตุ้นนักท่องเที่ยวมาเชียงใหม่เพียบและสปาโต 50% ด้านนายกสมาคมไทยล้านนาสปาเผยสปาภาคเหนือโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ เชื่อใครมีความต่างอยู่รอด ส่วนตลาดรวมขณะนี้อยู่ในช่วงทรงตัว เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น
นายภาคิน พลอยแหวน ประธาน บริษัทเดสทินี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้บริหารเดอะ โอเอซิส สปา กรุ๊ป และสมาชิกสมาคมไทยล้านนาสปา เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจสปาในไทยปีนี้มองว่าจะมีอัตราการเติบโต 20-30%ในแง่รายได้ ซึ่งจากความแรงของธุรกิจสปาในปัจจุบันยังเชื่อว่าสปายังไปได้อีก 2-3 ปี ส่วนด้านการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหม่เชื่อว่าจะชะลอตัวลงหรือผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยจะอยู่ได้ต้องมีการปรับกลยุทธ์และมาตรฐานให้เหมาะสมกับลูกค้าในแต่ละกลุ่มและต้องมีจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจ
ปัจจุบันสปาของโอเอซิสเปิดให้บริการในรูปแบบเดย์ สปาและมีให้บริการแล้ว 4 แห่งที่เชียงใหม่ ได้แก่ เดอะ เชียงใหม่ โอเอซิส สปา, เดอะ ลานนา โอเอซิส สปา , เดอะ อโรม่า โอเอซิส เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งในปีนี้บริษัทฯมีแผนเปิดสปาแห่งใหม่ในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกที่ย่านสุขุมวิท 32 บนพื้นที่ขนาด 1 ไร่ ภายใต้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
"สาเหตุที่มาเปิดสปาในกรุงเทพฯ เนื่องจากมั่นใจในจุดแข็งของโอเอซิส สปาที่เด่นในเรื่องโปรดักส์ หรือการบริการต่างๆ เช่น วัฒนธรรมของคนภาคเหนือ, การรับส่งลูกค้าจากที่พัก หรือการนวดทรีตเมนต์ เป็นต้น โดยค่าบริการสปาจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-7,000 บาท"
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักของสปาที่เปิดในกรุงเทพฯจะแตกต่างจากที่เชียงใหม่ที่เน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 80% ส่วนสปาในกรุงเทพฯจะแบ่งลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% และที่เหลือเป็นคนไทย 30-40%
สำหรับยอดรายได้บริษัทฯคาดว่าสาขาใหม่ในกรุงเทพฯจะมีประมาณเดือนละ 5 ล้านบาท ส่วน 4 สาขาในเชียงใหม่คาดว่ายอดรายได้จะเติบโตขึ้น 10-20% จากยอดรายได้ปีที่แล้ว 30 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมาพบว่าผลประกอบการสปายังดีอยู่ ถึงแม้จะมีปัญหาทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจชะลอตัว โดยในส่วนการเมืองมีผลกระทบต่อธุรกิจบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์มีการยกเลิกทริปไปบ้าง แต่ตรงนี้บริษัทฯก็มีแผนการตลาดออกมาเพื่อทำการตลาดแบบกว้างมากขึ้น
นอกจากนี้ปีนี้ยังเป็นปีที่ไทยจะจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเทิดพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ที่เชียงใหม่ในวันที่ 1 พ.ย. 49- 31 ม.ค. 50 ตรงนี้เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวแห่เข้าเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก และจะทำให้ธุรกิจสปาในภาคเหนือเติบโตมากหรือกว่า 40-50%
**ชี้สปาภาคเหนือเด่นด้านวัฒนธรรม**
ด้านนายการย์วิชย์ วงษ์ทอง ผู้จัดการทั่วไป ของ บริษัท เดอะ เฮลลิ่ง ริสชี่ สปา จำกัด และนายกสมาคมไทยล้านนาสปา กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจสปาทางภาคเหนือนั้น ถือว่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผู้ประกอบการเองและกลุ่มลูกค้า เนื่องจากความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพราะสปาของทางภาคเหนือนั้นจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนา รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภูเขา ต้นไม้ ซึ่งมีความแตกต่างจากสปาทางแถบภาคใต้อย่างชัดเจน โดยขณะนี้ทางสมาคมล้านนา สปา นั้น มีสมาชิกประมาณ 50 ราย แต่ที่ได้ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีเพียง 17 รายเท่านั้น
สำหรับกลุ่มค้าหลักของธุรกิจสปาในภาคเหนือนั้นกว่า 80% จะเป็นชาวต่างประเทศ และ 20 % เป็นชาวไทย แต่ในขณะนี้ทางสมาคมฯกำลังร่วมกับผู้ประกอบการในการช่วยกันผลักดันให้คนในพื้นที่โดยเฉพาะคนไทย หันมาใช้บริการสปามากขึ้น เพราะคนไทยยังเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการที่จะทำให้ธุรกิจสปาสามารถดำเนินอยู่ได้
ทั้งนี้สถานการณ์ของธุรกิจสปาทางภาคเหนือนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงทรงตัว เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น บวกกับการที่จะเข้ามาทำธุรกิจนี้จะต้องมีความแตกต่างหรือเอกลักษณ์เฉพาะจึงจะอยู่ได้ เช่น การนำสปามารวมกับโยคะหรือการทำดีท็อกซ์ หรือเฮลท์สปา อย่างที่เดอะ เฮลลิ่ง ริสชี่ สปา ได้ทำอยู่
สำหรับผลการดำเนินงานตลอด 3 ปีที่ผ่านมานั้น ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนทำให้บริษัทฯเตรียมเปิดสปาอีกแห่ง คาดว่าจะเปิดในทำเลติดทะเลทางภาคใต้และยังคงมีความเป็นล้านนาและเฮลท์สปาเช่นเดิม ส่วนการดำเนินงานได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางภาครัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะการที่ทางภาครัฐยังให้ความสำคัญกับธุรกิจสปาอีกหรือไม่ รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจที่ควรจะเป็นอีกด้วย จึงจะสามารถดำเนินการเปิดสปาแห่งใหม่นี้ได้
ปัจจุบันเดอะ เฮลลิ่ง ริสชี่ สปา มีสมาชิกกว่า 300 ราย มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นชาวต่างชาติ โดยในปีนี้บริษัทฯจะเน้นช่องทางการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซด์เป็นหลัก แต่ยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าในท้องถิ่นเช่นเดียวกัน โดยจะมีการจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ รวมไปถึงการทำดีท็อกซ์รูปแบบใหม่ๆเข้ามาอีกทางหนึ่งด้วย
|
|
|
|
|