|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์ เผย ลงทุนในหุ้นระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตร เงินสด ทองคำ ชี้ 30 ปีหุ้นให้ผลตอบแทน 2,900% “เศรษฐพุฒิ”แจง ภาวะน้ำมัน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น นักลงทุนควรลงทุนในสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ทองคำ น้ำมัน แต่ขณะนี้ควรระมัดระวังจากมีการเข้ามาเก็งกำไรมาก
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ จัดทำ SET Note ฉบับที่ 5 /2549 ศึกษาผลตอบแทนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆของไทย ตั้งแต่ปี 2518-2548 คือ หุ้น พันธบัตร เงินสด และทองคำ พบว่า หากนักลงทุนถือครอบในระยะยาวแล้วหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 30 ปี ถึง 2,900 % ขณะที่พันธบัตรให้ผลตอบแทน 1,825% เงินสดให้ผลตอบแทน 800% และทองคำให้ผลตอบแทน 150%
จากการศึกษาพบว่าประเทศไทยนั้นหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ในระยะยาวทั้งในรูปจากการถือหุ้นมากกว่าที่ได้จากการถือเงินฝากกว่า 3 เท่า และมากกว่าการถือครองพันธบัตรกว่า 1.5 เท่า ซึ่งผลศึกษาดังกล่าวมีความสอดคล้องกับการศึกษาที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ที่หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงที่สุด
ทั้งนี้ถึงแม้หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อถือครองในระยะยาวสูงกกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นแต่นักลงทุนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจาควาผันผวนของผลตอบแทนหุ้นที่มากว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นในบางช่วงเวลา ซึ่งการศึกษานี้ได้แบ่งช่วงเวลาเป็น 3 ช่วง คือ ช่วง ก่อนวิกฤติการณ์ทางการเงิน (ปี2518-2539)ช่วงวิกฤติการณ์ (ปี 2540-2543 ) และหลังวิกฤติการณ์ (ปี 2544-2548 )เพื่อศึกษาผลตอบแทนของสินทรัพย์ในช่วงเวลาต่างๆ พบว่า ในระยะยาว 30 ปี หุ้นก็ยังคงจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด 12% ต่อปี
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า หากแบ่งช่วงเวลาการถือครองเป็นช่วงต่างๆพบว่าในช่วงวิกฤติหุ้นกลับให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด น้อยกว่าผลตอบแทนเงินฝากกว่า 10% และน้อยกว่าการถือครองพันธบัตร 7% เนื่องจาก หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนแปรผันตามภาวะเศรษฐกิจและอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆมากว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ในขณะที่ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ประเภทอื่นจะให้ผลตอบแทนที่คงที่
ทั้งนี้ในช่วงก่อนวิกฤตนั้นหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 16% มากว่าการถือครองเงินฝาก พันธบัตร และทองคำ ที่ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 10% ซึ่งหลังจากวิกฤตเป็นต้นมาหุ้นก็เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดอีกครั้ง เฉลี่ย 20%ต่อปี ขณะที่สินทรัพย์อื่นให้ผลตอบแทนที่คงที่อย่างก็ตามถึงแม้ว่าหุ้นจะมีความผันผวนที่สูงแต่หากนักลงทุนถือครองบหุ้นนาน โอกาสที่ได้รับผลตอบแทนมากว่าสินทรัพย์อื่นๆก็จะสูงขึ้นด้วย โอกาสของการได้รับผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะลงทุนในหุ้นแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตมีถึง 53% หากถือครองเป็นเวลา 2 ปี และสูงขึ้นเป็น 59% หากลงทุน 5 ปี
นายเศรษฐพุฒิ กล่าว การลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ภาวะตลาดไม่ผันผวน ซึ่งการลงทุนในพันธบัตรจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในช่วง อัตราดอกเบี้ยขาลง ส่วนการลงทุนในทองคำจะให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ ที่อัตราเงินเฟ้อที่สูง ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นสำหรับปัจจุบันนี้จากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ควรที่จะลงทุนในสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น ทองคำ น้ำมัน แต่ก็มีคนออกมาเตือนเรื่องการลงทุนให้มีความระมัดระวัง เนื่องจาก มีการเข้ามาเก็งกำไรที่สูง
|
|
|
|
|