Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน2 พฤษภาคม 2549
บลจ.บัวหลวงแชมป์NAVพุ่งกระฉูดเงินไหลเข้ากองตราสารหนี้2หมื่นล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง

   
search resources

บัวหลวง, บลจ.
Funds




บลจ.บัวหลวงมาแรงแซงทางโค้ง navกองทุนตราสารหนี้พุ่งกระฉูดระดมเงินตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเม.ย.กว่า 2.1 หมื่นล้านบาท ค่ายทหารไทยตามมาติดๆเงินไหลเข้ากองตราสารหนี้ 3,6,12 เดือนกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เผยบลจ.ทั้งระบบเงินไหลเข้ากองตราสารหนี้แล้วกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท

ภาพรวมกองทุนรวมตราสารหนี้ในปีนี้ ยังคงได้รับการตอบรับจากนักลงทุน โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ "ผู้จัดการรายวัน" พบว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทั้งระบบมีการระดมทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-21 เมษายน 2549 มีมูลค่ารวมกว่า 76,859 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2548

สำหรับบลจ.ที่สามารถระดมทุนผ่านการออกกองทุนตราสารหนี้ได้สูงสุดคือ บลจ.บัวหลวง มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 21,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 63.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปี อันดับ 2.บลจ.ทหารไทย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำตลาดกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตั๋วเงินคลังระยะ 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิในส่วนของกองทุนตราสารหนี้เพิ่มกว่า 17,176 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 42.3%

อันดับ3.บลจ.กสิกรไทย มีเม็ดเงินไหลเข้าในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 21 เมษายน 2549 กว่า 14,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% 4.บลจ.ไทยพาณิชย์ 6,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% 5.บลจ.กรุงไทย 3,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.9% 6.บลจ.ธนชาต 2,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% 7.บลจ.ยูโอบี (ไทย) 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0%

อันดับ8บลจ.นครหลวงไทย มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.5% 9.บลจ.พรีมาเวสท์ 2,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.7% 10.บลจ.เอ็มเอฟซี 2,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.6% 11.บลจ.แอสเซทพลัส 813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% 12.บลจ.ทิสโก้ 508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% 13.บลจ.อเบอร์ดีน 253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% 14.บลจ.ฟินันซ่า 163 ล้านบาท 15.บลจ.บีที 152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% 16.บลจ.วรรณ 152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% 17.บลจ.อยุธยาเจเอฟ ลดลง 699 ล้านบาท ลดลง 0.9% และ18.บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ลดลง 1,097 ล้านบาท ลดลง 1.4%

รายงานข่าวกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนตราสารหนี้ ส่วนหนึ่งมาจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนโยกเงินฝากเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นจำนวนมาก โดยในระยะหลังเห็นได้ชัดเจนว่า กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นประเภท 3 เดือนและ 6 เดือนจะได้รับการตอบรับนักลงทุนเป็นอย่างมาก หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะสั้น (อาร์/พี) 14 วัน โดยล่าสุด อยู่ที่ระดับ 4.75%

นอกจากนี้ แนวโน้มราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นแรงกดดันให้ธปท.ต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้บลจ.หลายแห่งต่างต้องปรับกลยุทธ์การออกกองทุนตราสารหนี้ใหม่ โดยหันมาออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือนมากขึ้น เพราะมีนักลงทุนบางส่วนที่ต้องการพักเงินไว้ระยะสั้น เพื่อไม่ให้เสียจังหวะลงทุนในช่วงดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น

รายงานข่าวจากบลจ.ทิสโก้ กล่าววว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2549 ตลาดตราสารหนี้ไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างชัดเจนในช่วงต้นไตรมาส โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาในพันธบัตรรัฐบาลช่วงอายุกลางถึงยาวมากขึ้น เนื่องจากปริมาณของพันธบัตรรัฐบาลออกใหม่ที่จะประมูลในตลาดแรกมีจำนวนไม่มากนัก ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมือง ซึ่งมีผลกระทบกับอัตราการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มที่ชะลอตัวลง เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายไตรมาสได้เริ่มมีการเทขายทำกำไรออกมาในพันธบัตรรัฐบาลช่วงอายุกลางถึงยาวมากขึ้น ภายหลังจากที่มีการประกาศตารางประมูลพันธบัตรสำหรับไตรมาสาหน้า โดยจะมีพันธบัตรอายุประมาณ 5,10,15 และ 20 ปี ออกมาประมูลในตลาด

ขณะเดียวกันการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจเดือนกุมภาพันธ์ที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวกว่า 1 ปี ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.10 ถึง 0.29 สำหรับตราสารภาครัฐที่มีอายุ 1 ปีลงมา ยังคงได้รับแรงกดดันจากการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรประเภท 14 วัน อีกร้อยละ 0.50 ของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ช่วงอายุ 3 เดือน ถึง 1 ปี เป็นหลัก ถึงแม้ว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาจากกกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น อัตราผลตอบแทนโดยรวมของตราสารระยะสั้นยังคงปรับตัวขึ้นต่ออีกร้อยละ 0.57 ถึง 0.69 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

"ในส่วนของแนวโน้มไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 นั้น คาดว่าตลาดตราสารหนี้โดยรวมน่าจะยังคงอยู่ในช่วงปรับฐานต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยอัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้นน่าจะเคลื่อนไหวตามแนวโน้มของทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งภายในประเทศและประเทศสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ จนถึงช่วงกลางปี"

สำหรับอัตราผลตอบแทนของตราสารระยะกลางก็มีแนวโน้มทยอยปรับตัวขึ้น โดยได้รับแรงกดดันมาจากอัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้น และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนอัตราผลตอบแทนของตราสารระยะยาวคงจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ รอดูเสถียรภาพการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางการเมือง และทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นปัจจัยหลัก   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us