Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2549








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2549
ผู้จัดการ 100 ภาพสะท้อนตลาดทุน (แบบไทยๆ)             
 

   
related stories

เติบโตท่ามกลางขวากหนาม
นิยามใหม่ของ "สามารถ"

   
search resources

Economics




แม้จะมีบริษัทใหม่ๆ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ไม่น่าเชื่อว่าความโดดเด่นของศักยภาพด้านผลประกอบการ กลับไปกระจุกตัวอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่สิบบริษัทของกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม ซึ่งถ้าสถาบันการลงทุนเจ้าของเงินก้อนโต วิเคราะห์เพียงแค่บริษัทเหล่านี้ ก็สามารถมองออกได้เลยว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยเป็นเช่นไร และมีแนวโน้มไปในทิศทางไหน

ดูจะกลายเป็นคุณลักษณะจำเพาะของตลาดหุ้นไทยไปแล้ว ที่มักจะแปลกแยกจากตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นใหญ่ๆ หลายแห่งมีราคาหุ้น เพิ่มสูงขึ้นจนดัชนีสามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ แต่ตลาดหุ้นไทยกลับยังย่ำอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่บริษัทซึ่งจดทะเบียนอยู่ในขณะนี้ ผลประกอบการก็ไม่ขี้เหร่ไปกว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดอื่นๆ เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

สภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่ในช่วง 1-2 เดือนนี้เท่านั้น แต่เคยเป็นมาแล้วหลายครั้งในอดีตนับ 10 ปี ตามแต่สถานการณ์ซึ่งกำลังแวดล้อมและมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นทุกแห่งอยู่ในแต่ละช่วงเวลานั้น

นอกจากเรื่องทิศทางที่ไม่ไปในทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ แล้วคุณลักษณะจำเพาะอีกอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทย คือแม้ว่าในตลาดจะมีบริษัทจดทะเบียนอยู่ถึงเกือบ 500 บริษัท แต่เม็ดเงินที่เข้ามาหมุนเวียนซื้อขายหุ้นในแต่ละวัน กลับกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่บริษัท

สัดส่วนเม็ดเงินที่เข้ามาในหุ้น 50 อันดับแรก ซึ่งมีการซื้อขายสูงสุดของทุกๆ วัน เมื่อเทียบกับเม็ดเงินซึ่งเข้าไปซื้อขายหุ้นที่เหลืออยู่อีกกว่า 400 บริษัทแล้ว มีมูลค่าที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

ที่สำคัญ หุ้น 20-30 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมในการลงทุนของแต่ละวันก็ยังหมุนเวียนอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์เดิมๆ มาแล้วหลายปี

ปรากฏการณ์นี้มีที่มาที่ไป!!!

มิใช่เพียงเพราะหลักทรัพย์เหล่านี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ประเภทบลูชิปจากนักลงทุนประเภทสถาบัน หรือมีข่าวเข้ามาดึงดูดการเก็งกำไรเฉพาะตัวเท่านั้น

แต่ยังเป็นเพราะฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้โดดเด่น และมีช่วงห่างจากบริษัทที่เหลืออยู่มาก จนกลายเป็นว่าหลักทรัพย์เหล่านี้เป็นเสมือนตัวแทนของตลาดหุ้นไทยโดยรวมไปโดยปริยาย

แนวความคิดในการสร้างสรรค์ดัชนี SET 100 และ SET 50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็น่าเชื่อว่ามีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากคุณลักษณะจำเพาะประการนี้ไม่มากก็น้อย

จากการเฝ้าติดตามผลการดำเนินงานของบริษัททุกบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตลอด 10 ปี เพื่อจัดทำตาราง "ผู้จัดการ 100" ของแต่ละปี ทำให้ "ผู้จัดการ" ได้พบกับข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า หลักทรัพย์ที่อยู่ในตาราง "ผู้จัดการ 100" กลายเป็นหลักทรัพย์ที่มีบทบาทสูงมากจนบางสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทกลุ่ม "ผู้จัดการ 100" สามารถใช้อ้างอิงเป็นตัวแทนของภาพรวมได้ทั้งตลาดได้เป็นอย่างดี

ไม่เฉพาะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขรายได้รวมในแต่ละปีของแต่ละบริษัท ที่ใช้เป็นเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกบริษัทเข้ามาอยู่ในตาราง "ผู้จัดการ 100" เท่านั้น แต่หากพิจารณารวมถึงตัวเลขทางการเงินอื่นๆ แล้ว บริษัทที่อยู่ใน "ผู้จัดการ 100" สามารถสะท้อนภาพแทนภาพรวมของทั้งตลาดได้ทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่นในปี 2544 ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรวมเริ่มปรากฏผลการดำเนินงานเป็นกำไร ซึ่งบ่งบอกถึงสถานะของบริษัทส่วนใหญ่ว่า เริ่มกลับมามีความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง หลังจากต้องผ่านพ้นประสบการณ์ความยากลำบากในการเอาตัวรอดในยามวิกฤติมาถึง 5 ปีเต็ม

ตัวเลขกำไรรวมของบริษัททุกแห่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2544 เท่ากับ 162,197.76 ล้านบาท แต่เฉพาะบริษัทใน "ผู้จัดการ 100" ของปีนั้น สามารถทำกำไรได้ถึง 167,362.39 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนแล้ว บริษัทใน "ผู้จัดการ 100" สามารถทำกำไรได้มากกว่า คิดเป็น 103.18% ของกำไรที่ทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีนั้นรวมกัน

อีกตัวอย่างหนึ่งในปีเดียวกัน (2544) เมื่อนับเฉพาะสินทรัพย์ของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมกัน ได้เท่ากับ 9,172,948.41 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสินทรัพย์ของบริษัทที่อยู่ใน "ผู้จัดการ 100" ถึง 8,297,906.01 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆ ได้ว่า 90.46% ของสินทรัพย์ของทุกบริษัทในตลาดรวมกันนั้น เป็นสินทรัพย์ของบริษัทใน "ผู้จัดการ 100"

การที่บริษัทใน "ผู้จัดการ 100" เป็นบริษัทที่มีบทบาทสูงมากเช่นนี้ มองด้านหนึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ "ผู้จัดการ 100" ที่สามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดสิ่งที่ได้เกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น หรือมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น และอาจมีผลกระทบต่อภาพใหญ่

ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทใน "ผู้จัดการ 100" ในหลายกรณีสามารถเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งประเทศได้ เพราะตลาดหุ้นถือเป็นกลไกสำคัญ และเป็นสัญลักษณ์ของเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเผชิญ

แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง การที่บทบาทโดยรวมกระจุกตัวอยู่เฉพาะในกลุ่ม 100 บริษัท แรกที่สามารถทำรายได้สูงที่สุดของแต่ละปี ทำให้เกิดความวิตกกังวลได้ว่า บริษัทเหล่านี้อาจมีอิทธิพลสูงเกินไป เพราะนอกจากจะสามารถชี้นำภาพรวมของทั้งตลาดได้แล้ว ทั้ง 100 บริษัทยังมีสภาพไม่แตกต่างไปจากปลาใหญ่ ซึ่งหากมีโอกาสก็จะฮุบกินปลาเล็กเป็นเหยื่อตามวัฏจักรของทุนนิยม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมองลึกโดยเจาะเข้าไปเฉพาะส่วนบน 1 ใน 4 ของบริษัท ใน "ผู้จัดการ 100" กลับพบข้อเท็จจริงที่น่าตกใจว่า เฉพาะ 25 บริษัทแรกที่สามารถทำรายได้สูงสุดของแต่ละปีนั้น กลับยิ่งเป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการโดดเด่น จนสร้างบทบาทและอิทธิพลได้สูงกว่า

เพราะแค่ตัวเลขทางการเงินของบริษัทเพียง 25 แห่งนี้เท่านั้น เมื่อรวมกันแล้วเกือบจะเท่ากับ 3 ใน 4 ของบริษัทใน "ผู้จัดการ 100" รวมกัน และเมื่อเทียบกับภาพใหญ่แล้วเฉพาะ 25 บริษัทนี้มีสัดส่วนทางการเงินที่สูงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัททุกแห่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมกันอีกด้วย

โดยเฉพาะทางด้านรายได้ และยอดสินทรัพย์ที่โดยเฉลี่ยแล้วมากกว่า 60% ของรายได้รวม และสินทรัพย์รวมของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมกัน จะอยู่ในกลุ่ม 25 บริษัทนี้

ส่วนตัวเลขกำไร 25 บริษัทนี้สามารถเป็นตัวชี้วัดได้ดี เพราะเห็นได้ชัดว่าเมื่อปี 2543 ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ยังประสบกับการขาดทุน แต่ผลการดำเนินงานเฉพาะของ 25 บริษัทนี้ ได้กลายเป็นกำไรขึ้นมาแล้ว ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณล่วงหน้าที่บอกถึงทิศทางการฟื้นตัวของบริษัทอื่นๆ ที่เหลือในปีถัดมา

ข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือจากการรวบรวมตัวเลขในรอบ 10 ปี บทบาทและอิทธิพลของ 25 บริษัทนี้ มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยสัดส่วนรายได้รวมของ 25 บริษัทนี้ ได้เพิ่มจาก 47.57% เมื่อเทียบกับรายได้รวมของทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2539 เป็น 63.54% ในปี 2548

ขณะที่กำไรสุทธิของ 25 บริษัทนี้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 64.64% ในปี 2539 เป็น 65.94% ในปี 2548 โดยในระหว่างนี้ตัวเลขกำไรสุทธิของ 25 บริษัท มีความผันผวนไปตามสถาน การณ์ของวิกฤติเศรษฐกิจ

จะมีแค่สัดส่วนสินทรัพย์รวมเท่านั้นที่ลดลงจาก 60.58% ในปี 2539 เหลือ 53.54% ในปี 2548

(รายละเอียดโปรดดูตาราง "บทบาทของ 25 บริษัทแรกใน "ผู้จัดการ 100" ต่อภาพรวมทั้งตลาด")

ข้อมูลที่น่าตกใจที่สุด เมื่อยิ่งมองลึกลงไปถึงกลุ่มทุนแล้วจะพบว่าตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา จำนวนกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของบริษัทในส่วนบน 25 แห่งนี้เริ่มลดน้อยลง

ซึ่งหมายถึงว่ากลุ่มทุนที่มีบทบาทสูงมากในตลาดหุ้น กำลังเริ่มตีวงแคบเข้ามากระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม

จากตาราง "25 บริษัทที่รายได้สูงที่สุด 2539-2547" พบว่าปี 2539-2543 ในจำนวนบริษัท 25 แห่งที่มีรายได้รวมสูงสุดของแต่ละปี ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ทำให้มีการกระจายการถือครองหุ้นออกไปยังหลายๆ กลุ่ม

แต่จากวิกฤติค่าเงินบาทในปี 2540 ได้ ส่งผลโดยตรงต่อการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ทำให้เกิดการปิดกิจการสถาบันการเงิน และการควบรวมกิจการกันของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตามมาในภายหลัง ทำให้จำนวนของธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ใน 25 อันดับแรกลดลง

เมื่อบริษัท ปตท.เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปลายปี 2544 แนวโน้มของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทในกลุ่ม ปตท.มีผลประกอบการดี จนสามารถขยับขึ้นมามีชื่อติดอยู่ใน 25 บริษัทแรกเพิ่มขึ้นอีก 2 บริษัทคือ ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมและอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย)

จนเมื่อ ปตท.ได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย และนำบริษัทไทยออยล์เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2547 ทำให้กลุ่มปตท.กลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปในทันที

แม้ว่า ปตท.จะมีสถานะประหนึ่งรัฐวิสาหกิจ โดยมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ 52% แต่เนื่องจากลักษณะธุรกิจภายในกลุ่มที่ใกล้เคียงกัน กลุ่ม ปตท.จึงมีความโดดเด่นเหนือรัฐวิสาหกิจอื่นที่ติดอยู่ใน 25 อันดับแรกเหมือนกัน อย่างการบินไทย และธนาคารกรุงไทย รวมถึงบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นโดยอ้อม อย่างผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง ที่ถือหุ้นใหญ่ 45% โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่ง ปตท.ก็เป็นผู้ผูกขาดผลิตพลังงานป้อนให้กับโรงไฟฟ้าแห่งนี้

ปี 2548 เฉพาะบริษัทในกลุ่ม ปตท. มีชื่อติดอยู่ในกลุ่ม 25 บริษัทแรกถึง 6 บริษัท (รายละเอียดโปรดดูตาราง "กลุ่มทุนที่ถือหุ้นใหญ่ใน 25 บริษัทแรกปี 2548")

มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Capitalization) ของ 6 บริษัทนี้ ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2548 เท่ากับ 1,266,512.53 ล้านบาท ยังนับไม่รวม Market Capitalization ของบริษัท ปตท.เคมีคอล ที่ปีนี้ไม่มีชื่อติดอยู่ในตาราง "ผู้จัดการ 100" อีก 91,622.42 ล้านบาท ซึ่งหากรวมแล้ว เฉพาะ Market Capitalization ของกลุ่ม ปตท.จะสูงกว่า 1 ใน 4 ของ Market Capitalization รวมทั้งตลาด

รองลงมาคือกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ที่มีบริษัทติดอยู่ในกลุ่มนี้ 4 บริษัท รวมทั้งบริษัทสยามแม็คโคร ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมา เคยมีข่าวมาตลอดว่า ซี.พี.ได้ขายหุ้นของบริษัทนี้ออกไปแล้ว แต่ในหน้าประวัติย่อที่อยู่ในเว็บไซต์ของบริษัทเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังระบุไว้ชัดเจนว่า บริษัทสยามแม็คโครถือหุ้นใหญ่โดยเอสเอชวี (SHV) จากเนเธอร์แลนด์กับกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ของไทย

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อเป็นกลุ่มทุนที่ใหญ่ และมีบทบาทสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ปัจจุบันเหลือถือหุ้นใหญ่อยู่ในปูนซิเมนต์ไทยกับธนาคารพาณิชย์เพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ติดอยู่ใน 25 อันดับแรก

ที่น่าสนใจคือทุนต่างประเทศ ที่เริ่มมีบทบาทอยู่ใน 25 บริษัทแรกนี้มากขึ้น อันเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการขายหุ้นในยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น ของกลุ่มเบญจรงคกุลออกไปให้กับกลุ่มเทเลนอร์จากประเทศนอร์เวย์ และการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ของตระกูลชินวัตรให้กับเทมาเสคของสิงคโปร์ ทำให้เทมาเสคได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โดยอ้อมในบริษัทแอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส

และกลุ่มทุนเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากไต้หวัน ซึ่งมาอาศัยฐานการผลิต และแหล่งระดมเงินทุนในประเทศไทย ที่ถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทแคลคอมพ์ อีเลคโทรนิคส์ และเดลต้า อิเลคทรอนิคส์

ทำให้ใน 25 บริษัทนี้มีถึง 4 บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเหมือนตัวแทนกลุ่มทุนจากต่างชาติ

สำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่อย่างธนาคารกรุงเทพ และกสิกรไทย ที่ผลจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 9 ปีก่อน ทำให้โครงสร้างการถือหุ้นใหญ่ถูกกระจายออกไปอยู่ในมือของสถาบันการเงิน และกองทุนต่างๆ ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ส่วนผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทยได้กระจัดกระจายออกไปจากกลุ่มตระกูลที่เคยเป็นเจ้าของเดิมอย่างล่ำซำ และโสภณพนิชพอสมควร

ทำให้กลุ่มทุนสัญชาติไทยที่ยังคงหลงเหลือบทบาทอยู่ใน 25 บริษัทแรกนี้ ถ้าตัดกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ออกไปแล้ว มีความชัดเจนอยู่เพียง 4 กลุ่มเท่านั้น

ยิ่งในอนาคตตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีนโยบายว่าจะพยายามชักชวนบริษัทขนาดใหญ่ สามารถทำยอดรายได้สูงในแต่ละปีเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มขึ้น เพื่อให้ยอดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Total Market Capitalization) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

แนวโน้มว่าบริษัทของกลุ่มทุนคนไทยที่เหลืออยู่ 4 กลุ่ม ซึ่งจะถูกดันให้หลุดลงไปจากกลุ่มบน ที่มีบทบาทและอิทธิพลสูงสุดในตลาด 25 อันดับแรกยิ่งมีสูงขึ้น

ตลาดทุนไทยสามารถสะท้อนหลักการ Pareto Principle ที่ Vilfredo Pareto นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีคิดค้นขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีก่อนได้อย่างชัดเจนดีทีเดียว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us