Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 เมษายน 2549
ชะลอ "ใช้จ่าย-ลงทุน" สุมไฟวิกฤต แบงก์ชาติปรับลดจีดีพีเหลือ4.25%             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
บัณฑิต นิจถาวร
Economics




แบงก์ชาติปรับลดประมาณการ เศรษฐกิจปีนี้เหลือ 4.25-5.25% จากปัญหาการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวกลางมรสุมน้ำมันแพง-ดอกเบี้ยขาขึ้น เผยลดประมาณการการใช้จ่ายของภาคเอกชนลงเหลือ 3.5-4.5% และลดการลงทุนของภาคเอกชนเหลือ 7.5-8.5% พร้อมปรับลดสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐปีนี้ 26,600 ล้าน

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2549 ในอัตรา 4.25-5.25% จากการขยายตัวในอัตรา 4.47-5.75% ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัดในไตรมาสแรกและระยะต่อไป มีนัยที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายด้านซึ่งกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

"เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี และอาจจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี หากการใช้จ่ายเอกชนเริ่มกลับมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยตามกราฟการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ธปท.ประมาณการว่า ไตรมาสที่ 1 เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ 5-6.5% ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ขยายตัวได้ 4-6% และลดลงในไตรมาสที่ 3 และ 4 ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวในระหว่าง 3-4%"

นายบัณฑิตกล่าวว่า ตัวเลขจริงที่ออกมาใน 2 เดือนแรกของปีชี้ให้เห็นการส่งออกที่ขยายตัวได้ถึงได้ 18.9% สูงกว่าความคาดหมาย รวมทั้งดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 9.2% ตามการเร่งตัวของการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ดีขึ้นถึง 26.1% อย่างไรก็ตาม เห็นการชะลอตัวที่ชัดเจนของการใช้จ่ายและการลงทุนในภาคเอกชน โดยภายใต้การปรับลดประมาณการเศรษฐกิจครั้งนี้ ปัจจัยหลักคือ ราคาน้ำมันดิบโลกที่สูงขึ้น ธปท.ได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบของโลกให้สูงขึ้นจากประมาณการเดิม โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบ ดูไบเฉลี่ยทั้งปีจะปรับสูงขึ้นเป็น 61.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก 57.5 เหรียญฯต่อบาร์เรลในการประมาณการครั้งก่อน

หวั่นน้ำมันดูไบ 69.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล

ธปท.ยังมองเผื่อด้วยว่า ในกรณีเลวร้ายราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีอาจจะสูงถึง 69.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งกระทบในทุกภาคของเศรษฐกิจไทย ธปท.ได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาน้ำมันปีหน้าเป็น 63 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จาก 56.3 เหรียญฯ อีกปัจจัยที่สำคัญคือ การใช้จ่ายและการลงทุนที่ชะลอตัวลงของภาครัฐ และเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับลดประมาณการการใช้จ่ายของภาคเอกชนปีนี้ จากที่ได้คาดว่าขยายตัว 4-5% ลงเหลือ 3.5-4.5% และลดการลงทุนของภาค เอกชนปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 9.5-10.5% เหลือ 7.5-8.5%

"เรายังได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐภายใต้งบประมาณปีนี้ลง 26,600 ล้านบาท และลดการลงทุนของภาครัฐในปีหน้าลง 76,700 ล้านบาท เนื่องจากการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้าจากเดิม รวมทั้งความไม่แน่นอนและความล่าช้าของการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ในปีนี้และปีหน้า และได้ปรับลดการใช้จ่ายของภาครัฐในปี 2550 ลง 10,900 ล้านบาท ขณะที่คงประมาณการใช้จ่ายของภาครัฐในปีนี้ไว้ที่ 2-3% เท่าการประมาณการครั้งก่อน แต่ปรับลดประมาณการลงทุนภาครัฐลงเหลือ 7-8% จาก 12.5-13.5% ในการประมาณการครั้งก่อน

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกของเศรษฐกิจไทยปีนี้คือ การส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาสแรกจะแข็งค่าขึ้นมากถึง 4.1% และ ธปท.คาดว่าแนวโน้มค่าเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องก็ตาม เพราะได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในอัตราที่ดีขึ้นจาก 4.2% ในครั้งก่อนเป็น 4.5% ในการประมาณการครั้งนี้ โดย ธปท.ปรับขึ้นประมาณการการส่งออกทั้งปีขึ้นเป็น 11-13% จาก 10-12% ในครั้งก่อน และปรับลดการขยายตัวของการนำเข้าลงจากการขยายตัว 8-10% ลงเป็นขยายตัว 7.5-9.5% และการส่งออกที่ดีขึ้นยังทำให้ประมาณการได้ว่าดุลการค้าจะขาดดุลลดลง จาก 7,000-9,000 ล้านเหรียญ เป็นขาดดุลการค้า เพียง 5,000-7,000 ล้านเหรียญ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงจาก 2,000-4,000 ล้านบาทเป็น 0-2,000 ล้านบาท

สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้น ธปท.คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั้งเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐานของประเทศจะมีแนวโน้มปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่อย่างไรผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงจะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วจากไตรมาสแรกอีกแล้ว แต่จะลดลงได้จากฐานปีที่ผ่านมาที่อยู่ระดับที่สูง และการแข็งค่าของเงินบาท ที่ช่วยลดผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในระยะต่อไป โดยได้ปรับขึ้นประมาณการเงินเฟ้อทั่วไป ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.-5% จาก 3.5-5% ในการประมาณการครั้งก่อน แต่คงประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไว้ที่ 2-3% ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับการประมาณการครั้งก่อน ขณะที่เงินเฟ้อที่ลดลงในช่วงครึ่งปีจะช่วยให้การใช้จ่ายในประเทศไตรมาสที่ 4 ฟื้นตัวได้

อย่างไรก็ตาม การประมาณการครั้งนี้ยังมีความเสี่ยงทั้งด้านบวก และลบที่ต้องติดตาม โดยต้องติดตามความเสี่ยงของราคาน้ำมันที่ยังสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงต่อไปอย่างไร เพราะหากราคาน้ำมันสูงขึ้นไปในระดับหนึ่งย่อมจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ประเด็นที่สอง คือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและความไม่สมดุลของระบบการเงินโลก จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนและส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักของโลกและค่าเงินในภูมิภาครวมทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวน ต่อเนื่อง

นอกจากนั้น ปัจจัยในประเทศจะต้องดูแลในเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อาจจะลดลงกว่าในปัจจุบัน รวมทั้งต้องจับตาดูผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศว่าจะส่งผลต่อความ สามารถในการชำระหนี้และหนี้ภาคครัวเรือนอย่างไรด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us