Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 เมษายน 2549
สมคิดรับน้ำมันกระทบศก.เอกชนวอนรัฐอุ้มSMEs             
 


   
search resources

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
Economics
Oil and gas




"สมคิด"เปรยยอมรับความจริงปัจจัยลบ"น้ำมัน-การเมือง"กระทบเศรษฐกิจ แนะรัฐบาลดูแลเงินคงคลังให้เหมาะสมหลังภาษีรายได้หลังลด ระบุจีดีพีโตเท่าไหร่ไม่สำคัญขอแค่ให้โตขึ้นพอ ขณะที่"ประเสริฐ" เผยหากเกิดสงครามขึ้น น้ำมันทะลุ 100 เหรียญแน่นอน ด้านก้องเกียรติ ชี้ภาครัฐ-เอกชนต้องสร้างความน่าสนใจดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุนเพิ่ม เตรียมปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ลดลง "สภาอุตฯ" วอนรัฐช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง-เล็กต่อสู้ภาวะการแข่งขัน

วานนี้(26 เม.ย.) ตลาดหลักทรัพย์ได้จัดงานสัมมนาประจำปีมูลนิธิศาสตราจารย์สังเวียน ในหัวข้อ"ทางออกธุรกิจไทย...ฝ่าวิกฤตน้ำมันแพง"โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนาในหัวข้อ "4 สภาธุรกิจ...เจาะลึกเศรษฐกิจยุคน้ำมันแพง" โดยมีผู้ร่วมสัมมนาประกอบด้วยนายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน ร่วมสัมมนา

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องพบกับปัจจัยลบต่างๆมากมายที่เข้ามากระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ปัจจัยทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้นคงหลอกกันไม่ได้ว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจแม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาจะอยู่ระดับที่ดีก็ตาม เนื่องจากยังได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่ในอนาคตคงจะต้องมีการประเมินอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลมากอยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ

สิ่งสำคัญของรัฐบาลในช่วงที่ประชาชนยังคงมีความกังวลจากปัจจัยต่างๆ คือเรื่องการดูแลเงินคงคลังของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการจัดเก็บภาษี เนื่องจากในช่วงที่ประชาชนยังไม่สบายใจ การจับจ่ายใช้สอย และการบริโภคลดลงซึ่งอาจจะส่งผลต่อรายได้หลักของภาครัฐ ทำให้อาจจะต้องมีการชะลอการลงทุนในโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นในระยะเวลาอันสั้นออกไปเพื่อรักษาระดับเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ การอัตราการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ เรื่องดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่การเติบโตจะยังคงต้องมีต่อไป ขณะที่ระดับอัตราการเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก"จริงๆแล้วตอนนี้ประเทศเป็นช่วงที่น่าสงสาร ต้องผ่านมรสุมมาหลายครั้ง แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรที่จะสายไปในการเข้ามาช่วยเหลือกัน ทุกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยประคับประคองกันอย่าต้องอยู่ในภาวะที่มีแต่การแข่งขันกันเอง หน่วยงานของรัฐแม้ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบมจ.ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนแต่ก็ไม่ได้หวังผลกำไรสูงสุดจากการดำเนินงาน ขณะที่บริษัทจะต้องเร่งสร้างความแข็งแรงเพื่อเป็นแกนหลักในการหาแนวทางในการเข้ามาช่วยเหลือประชาชน"นายสมคิดกล่าว

เกิดสงครามน้ำมันทะลุ100เหรียญ

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันได้ปรับฐานขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 50-60 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 60-70 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบสำเร็จรูปปรับตัวสูงกว่า 80 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งการปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้นคงไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คือปัญหาในประเทศไนจีเรีย รวมถึงผลกระทบต่อกำลังการผลิตของประเทศสหรัฐอเมริการจากพายุเฮอริเครนที่ถล่มอ่าวเม็กซิกันในช่วงปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือเรื่องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การเกิดสงครามขึ้นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจจะปรับตัวสูงถึง 100 ล้านเหรียญได้ เนื่องจากผลกระทบจากสงครามจะส่งผลต่อประเทศใกล้เคียงซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหลายประเทศ

"ผมยังเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดสงครามจากกรณีของอิหร่าน แต่หากเกิดขึ้นจริงราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน ระดับเกิน 100 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้เห็นอย่างแน่นอน"นายประเสริฐกล่าว

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นประมาณ 10-12 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณลิตรละ 3 บาทแต่บริษัทผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับขึ้นเพียง 1.20 บาททำให้ต้องรับภาระขาดทุนประมาณ 2 บาทต่อลิตร

ดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุน

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูงอีกนาน ซึ่งความต้องการใช้ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังการผลิตไม่ทันต่อความต้องการ จึงมีการเข้าไปเก็งกำไรเกี่ยวกับราคาน้ำมันค่อนข้างมาก นอกจากนี้สินค้าที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นทองคำที่ราคาปรับขึ้นแล้วประมาณ 25% รวมถึงเพชร พลอยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5%

ทั้งนี้ เม็ดเงินที่ยังรอเพื่อลงทุนในโลกยังมีสูงมากโดยเฉพาะเม็ดเงินจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางซึ่งได้รับผลดีจากการที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น ทำให้หลายประเทศจะต้องเร่งสร้างความน่าสนในเพื่อดึงดูดเม็ดเงินเหล่านั้นเข้ามาลงทุนในประเทศในส่วนของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงส์จากการไหลเข้ามาของเม็ดงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ขณะที่ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียก็มีเม็ดเงินจากนอกประเทศไหลเข้ามา เช่นประเทศอินเดีย มีเงินไหลเข้ามาวันละประมาณ 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยเป็นการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ จากปัจจัยลบต่างๆสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาจจะต้องมีการหารือบริษัทสมาชิกเพื่อประเมินการคาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากปีที่ผ่านมาการประเมินช่วงต้นปีกับผลลัพธ์ท้ายปีแตกต่างกันมาก โดยจะมีการเรียกประเมินในทุกไตรมาสซึ่งคาดว่าจะมีการปรับเป้าดัชนีและตัวเลขทางเศรษฐกิจลดลงอย่างแน่นอน

สภาอุตฯหวังรัฐหนุน SMEs

นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมไม่มีความกังวลในอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก เพราะเศรษฐกิจโลกสามารถเติบโตได้ 3-4% รวมทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐ และญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศยังมีการเติบโตในระดับที่ดีทั้งนี้สภาอุตสาหกรรม มีความเชื่อมั่นว่านักธุรกิจในภาคส่งออกมีศักยภาพ หากภาครัฐให้การสนับสนุนเพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ อาทิ รัสเซีย ประเทศแถบตะวันออกกลาง หรืออินเดียซึ่งกำลังเจรจาเพื่อเปิดเขตการค้าเสรี (FTA)

อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตในประเทศได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนในเรื่องค่าขนส่ง ซึ่งได้มีการทยอยปรับขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะสามารถเจรจาต่อรองกับบริษัทขนส่งที่ใช้บริการประจำได้ ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก(SMEs)ยังต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและการแข่งขันในส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนมีนาคมสูงขึ้นเกินกว่า105 จุด มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ดีขึ้นหลังวันเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวผ่านวิกฤตนี้ได้ ซึ่งหอการค้าไทยได้เสนอการแก้ปัญหาระยะสั้น โดยให้กระทรวงพลังงาน ภาคเอกชน และภาคสถาบันอื่นๆ ใช้พลังงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงภาครัฐอาจจะมีการชดเชยภาษีนำเข้าให้กับผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น แอทธอนอล แก็สโซฮอลล์ที่ทำจากนำพืช ไบโอดีเซล และก๊าซธรรมชาติ หรือ NGV ที่ต้องขยายการใช้ไปยังภาคการผลิตต่างๆ รวมถึงภาครัฐต้องเข้ามาช่วยลงทุนบางส่วนร่วมกับเอกชน เช่น ท่าเรือ สถานนีรถไฟให้พร้อม โดยเรื่องราคาน้ำมันไม่ควรเข้าไปแทรกแซง ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคและการผลิตที่ไม่สมดุลกันนั้นน่าจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจึงยังเติบโตได้เมือพิจารณาจากสินเชื่อยังขยายตัวได้ในทุกกลุ่ม

สำหรับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งคาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยคงจะไม่มากนัก หากเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ด้านอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ ก็คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5% หากพิจารณาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งการที่ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มอยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการพิจารณาว่าจะผลกระทบด้านเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ด้านการปล่อยเชื่อของธนาคารกรุงเทพเองในช่วงไตรมาสแรกยังคงเป็นไปได้ตามเป้าที่ได้ตั้งไว้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us