|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ฟิทช์ เรตติ้งคาดจีดีพีไทยปี 49 ลดฮวบเหลือ 4.3% จากประมาณการที่ 5% พร้อมให้เครดิตไทยที่ระดับ A- ระบุเหตุความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลกระทบเศรษฐกิจ เผยหากเมกะโปรเจกต์ล่าช้าส่งผลให้งบประมาณเกินดุลได้ถึง 0.3% ของจีดีพี ขณะที่ราคาน้ำมันกระทบดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเป็นครั้งแรกจากปี 2541 ถึง 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.1% ของจีดีพี
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับ ได้รายงานผลการวิเคราะห์เครดิตของประเทศไทย โดยยืนยันระดับเครดิตของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ A- ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มระดับเครดิตที่มีเสถียรภาพ ระดับเครดิตระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศว่าอยู่ที่ระดับ BBB+ ระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทที่ระดับ A และระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นอยู่ที่ F2
โดยฟิทช์ ระบุว่า ได้คาดการณ์ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย (จีดีพี) ในปี 2549 นี้ จะลดลงเหลือเพียง 4.3% จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 5% โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ยุติ คือ ยังไม่สามารถเลือกตั้งผู้แทนราษฎรได้ครบจำนวน ทำให้อาจไม่สามารถเปิดประชุมสภาฯ ได้ แม้ว่าความตึงเครียดทางการเมืองจะเริ่มคลี่คลาย หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม
"ฟิทช์ คาดว่า ความยุ่งยากทางการเมืองจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยคาดการณ์ว่า จีดีพีในปี 2549 จะลดลงเหลือ 4.3% จาก 5% และหากความยุ่งยากทางการเมืองยังคงยืดเยื้อต่อไป จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตในระยะปานกลางได้" รายงานข่าวกระทรวงการคลัง ระบุ
ทั้งนี้ ฟิทช์ ให้ความเห็นว่า เครดิตของประเทศไทยมีความคงทนยิ่งขึ้นนับแต่ปี 2541 ที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น และฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศดีขึ้น ทำให้ปัจจัยชี้วัดเครดิตหลักยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในระดับเครดิต BBB
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ฐานะการคลังของประเทศที่มั่นคงในปีงบประมาณ 2548 โดยปัจจัยหลักมาจากรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม อีกทั้งวิธีการปรับปรุงการจัดเก็บรายได้ ส่งผลให้ทำให้สามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้า ขณะที่รายจ่ายการลงทุนของภาครัฐลดลงเล็กน้อย ทำให้คาดว่ารัฐบาลจะมีงบประมาณเกินดุลคิดเป็น 0.6% ของจีดีพี ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศในกลุ่มระดับเครดิต BBB
"นอกจากนั้น ในปี 2549 หากมีความล่าช้าในการลงทุนโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเมกะโปรเจกต์ และไม่มีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ งบประมาณจะเกินดุล 0.3% ของจีดีพี และยอดหนี้ของรัฐบาล (หนี้โดยตรงของรัฐบาลรวมกับหนี้ของ FIDF) คาดว่าจะอยู่ที่ 27.8% ของจีดีพี ในปี 2549 ซึ่งลดลงจาก 31.9% ในปี 2548 ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะที่ไม่รวมหนี้ในภาคการเงินต่อจีดีพี (Non-Financial Public Debt) คาดว่าจะลดลงเหลือ 39.5% ในปี 2549 จาก 46.1% ในปี 2548" รายงานข่าวกระทรวงการคลัง ระบุ
อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยขาดดุล 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.1% ของจีดีพี นับว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2541 โดยฟิทช์ เห็นว่า ยังไม่ส่งผลกระทบต่อระดับเครดิตของประเทศ อันเนื่องจากมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และการลงทุนในหลักทรัพย์โดยรวม อีกทั้งเงินทุนสำรองของประเทศยังเพิ่มขึ้น โดยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้น 4.6% คิดเป็นมูลค่าสูงสุด 52.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 3.3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และเทียบเท่ากับ 4.5 เดือนของภาระการชำระหนี้ต่างประเทศ
และเหตุผลสุดท้าย ได้แก่ หนี้ต่างประเทศทั้งหมดของประเทศไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยคิดเป็นมูลค่า 51.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ต่ำที่สุดนับจากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อรายรับจากต่างประเทศ ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 37.8% ในปี 2548 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศที่มีระดับเครดิต BBB
"ประเทศไทยยังถือเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่มประเทศระดับ BBB ที่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้สุทธิ (Net External Credit Position) (12.8% ของรายรับจากต่างประเทศในปี 2548) สัดส่วนสภาพคล่องต่างประเทศของไทย (External Liquidity Ratio) คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ 289.4% ในปี 2549 จาก 299.4% ในปี 2548 ซึ่งฟิทช์ ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในกลุ่มประเทศที่มีระดับเครดิต BBB" รายงานข่าวกระทรวงการคลัง ระบุ
|
|
|
|
|