เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2539 ที่ผ่านมานั้น กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยได้จัดงานสัมมนา
เรื่อง "ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับเศรษฐกิจ" ขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
และนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนี้ที่มีผู้มาร่วมงานสัมมนากันอย่างคับคั่งกว่า
1,000 คน และอยู่กันตลอดเวาจนถึงงานเลิกเป็นส่วนใหญ่
อาจจะเป็นเพราะงานครั้งนี้ เป็นของฟรี ที่ปริญญา นาคฉัตรีย์ อธิบดีกรมที่ดินยอมทุ่มเงินเกือบ
1 ล้านบาท ทำให้ผู้ร่วมฟังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ หรืออาจจะเป็นเพราะ
การระดมเจ้าหน้าที่กรมที่ดินมาเกือบยกกรมหรือคำพูดของ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้มาดำเนินรายการงานนี้พูดดักคอไว้ตั้งแต่เริ่มงานใหม่
ๆ ว่าหวังว่าช่วงบ่ายทุกคนยังไม่หนีหายไปไหน ไม่เช่นนั้นแล้วพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์อาจจะพาดหน้า
1 ได้ว่า
"ผู้ประกอบการอสังหาฯ ไม่สนการปรับปรุง ที่นั่งโหรงเหรง"
จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่มันก็ได้ทำให้สภาพของงานดูยิ่งใหญ่ คึกคัก และมีผลทำให้บรรหาร
ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมาทำพิธีเปิดสัมมนาตั้งแต่เช้า 9.00 น. ต้องอยู่ต่อไปจนถึงเที่ยง
หลังจากนั้นก็ได้กลับไปประชุมสภาฯ และย้อนกลับมานั่งฟังอีกครั้งในช่วงเวลา
15.00 น.
แสดงถึงนัยของความสนใจผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นพิเศษ และในเวลาถัดมาก็มีนโยบายทางการเงินเพื่อผู้ประกอบการด้านนี้โดยเฉพาะอีกด้วย
เป็นการแสดงท่าทีทาง "ธุรกิจการเมือง" ที่น่าสนใจยิ่ง
ผู้บรรยายในวันนั้นมีทั้งหมด 5 คน ซึ่งมีทั้งในส่วนภาคเอกชนและภาครัฐบาล
แต่ดูเหมือนว่า อนันต์ อัศวโภคิน กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์
จำกัด (มหาชน) สามารถพูดถึงปัญหา และเสนอทางออกได้ใจความมากที่สุดสมกับที่คนทั้งห้องประชุมรอฟังยักษ์ใหญ่ในวงการจัดสรรที่ดินคนนี้
อนันต์เริ่มด้วยคำพูดที่น่าสนใจ และคาดว่าคงเป็นที่ถูกใจคนฟัง (ที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการ)
ว่า
"ช่วงมีกำไรไม่บ่น พอเริ่มเดือดร้อนก็วิ่งหาให้รัฐฯ ช่วย ซึ่งไม่เหมาะสม
อยากจะให้จัดการธุรกิจของเราให้ดีเสียก่อน"
แต่อย่างไรก็ตาม อนันต์ยอมรับว่า ปัญหาในการทำธุรกิจจริง ๆ ก็มีอยู่ และมีวิธีการบางอย่างที่รัฐควรจะเข้ามามีบทบาท
เช่น การควบคุมผู้ประกอบการที่มากเกินไป และไม่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ธุรกิจธนาคารรัฐบาลตรวจสอบหลักเกณฑ์ผู้ก่อตั้งเข้มงวด
พอมีปัญหาก็มีเงินกองทุนอัดฉีดช่วยเหลือ ในขณะที่เวลาคนถอนเงินจากธนาคารมาซื้อบ้าน
จากผู้ประกอบการบางรายที่ไม่มีความรับผิดชอบเงินที่เก็บออมมานาน ตรงนั้นก็อาจจะสูญหายไปได้
ซึ่งตรงจุดนี้กลับไม่มีการควบคุม
ปัญหาใหญ่อีกอย่างของการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ เป็นธุรกิจที่หาข้อมูลที่ถูกต้องอ้างอิงได้ยากมาก
ดังนั้นผู้ประกอบการจะไม่มีข้อมูลในการวิเคราะห์ว่า ควรสร้างหรือไม่สร้างอย่างไร
โดยรัฐฯ อาจจะช่วยโดยให้ธนาคารพาณิชย์ทำรายงานส่งรวบรวมเป็นระยะ ๆ
อนันต์ ยังพูดถึงเรื่องการหักค่าลดหย่อนภาษี สำหรับการซื้อบ้านหลังแรกโดยเฉลี่ยต่อเดือนว่า
มันน้อยมากแทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ค่าประชดรัฐบาลผ่านนายกฯ บรรหารที่ว่า
"ถ้าจะช่วยก็ช่วย ถ้าช่วยแค่นี้อย่าช่วยเลยดีกว่า" คำกล่าวนี้เรียกเสียงปรบมือดังลั่นที่ประชุมเช่นกัน
หลังจากฟังอนันต์ และรับฟังปัญหาจากผู้ร่วมประชุมบางส่วน สักพักนายกฯ บรรหารก็ได้เดินทางกลับโดยปล่อยให้ทางที่สัมมนาพูดคุยกันต่อไป
โดยฝากให้อธิบดีกรมที่ดินรวบรวมเสนอในโอกาสต่อไป
นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองได้ให้ความสนใจ
และให้เวลามานั่งรับฟังปัญหาต่อหน้าผู้ประกอบการเป็นเวลาหลายชั่วโมงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในรัฐบาลสมัยอื่น ๆ
และงานนี้ต้องขอชมเชยอนันต์ว่า พูดจาได้กระชับและเป็นงานขึ้นเยอะ ส่วนโอกาสที่ได้แสดงข้อมูลความรู้ต่อหน้านายกรัฐมนตรีในวันนั้น
ไม่ทราบว่าท่านประทับใจแค่ไหน แต่ทางพรรคพลังธรรมเขาประทับใจ "กึ๋น"
ของเฮียตึ่ง คนนี้มานานแล้ว...