Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2539
"ถล่ม ช่อง 7 สี"             
โดย สมสมัย ศักดาวัฒนานนท์
 

 
Charts & Figures

ผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ของช่อง 3, ช่อง 5 และช่อง 7


   
www resources

โฮมเพจ ททบ.5
โฮมเพจ บีอีซี เวิลด์
โฮมเพจ สถานีโทรทัศน์ช่อง 7

   
search resources

บีอีซี เวิลด์, บมจ.
สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5
สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7
ประวิทย์ มาลีนนท์
แป้ง มาลากุล ณ อยุธยา
TV




ช่อง 7 สี เกือบจะเป็นผู้ยึดครองตลาดช่วงเวลาไพร์มไทม์ การเปลี่ยนแปลงในเชิงแข่งขันเป็นไปในรูปแบบเดิม ๆ มาช้านาน และสั่นสะเทือนช่อง 7 สีเพียงชั่วครั้งชั่วคราว จนในที่สุดช่อง 5 และช่อง 3 เป็นผู้จุดประทุสงครามหน้าใหม่ รื้อการจัดผังรายการใหม่หมด ปรับเปลี่ยนเวลา คือกลยุทธ์ของผู้ท้าทาย เป้าหมายคือช่วงชิงเวลาทองจากช่อง 7 สีให้ได้

ไพร์มไทม์ (PRIME TIME) ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาระหว่าง 18.30-22.00 น. กำลังกลายเป็นเค้กชิ้นใหญ่ที่หลายฝ่ายต่างกระโจนเข้ามา เพราะเป็นช่วงเวลาที่เปรียบเสมือนหัวใจทำรายได้ให้กับธุรกิจฟรีทีวีที่ปัจจุบันมีมูลค่าถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีเรตติ้งผู้ชมสูงสุดและโฆษณาเข้ามากที่สุด

ล่าสุดในปีนี้ดูเหมือนเกมการปะทุศึกไพร์มไทม์จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าตัว เมื่อช่อง 5 ในยุคของ พล.ท. แป้ง มาลากุล ณ อยุธยา ได้เข้ามาเดินเกมท้าชนด้วยการตัดสินใจปรับเปลี่ยนผังรายการใหม่ในช่วงไพร์มไทม์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา และสิ้นเดือนมีนาคม ช่อง 3 ก็ลุกขึ้นปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ใหม่เช่นกัน

ช่อง 5 เปิดศึกไพร์มไทม์

การต่อสู้แย่งชิงผู้ชมในยุทธภูมินี้ไม่ใช่เป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเกิดขึ้น แต่เป็นศึกที่ยาวนาน โดยมีสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 หรือวิกหมอชิตเป็นผู้ครองพื้นที่ในช่วงเวลา 18.30 - 20.30 น. โดยนำรายการข่าวมาเป็นจุดขายเป็นรายแรกและมีส่วนจุดพลุให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องปรับผังรายการข่าวเข้ามาใกล้เคียงกัน แต่ด้วยความเด่นในด้านเนื้อหาสาระที่ครอบคลุมในวงกว้างกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาของช่อง 7 เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ได้เค้กชิ้นนี้ไปโดยปริยาย

ขณะที่ช่อง 3 ในช่วงที่ผ่านมาก็มีฐานที่เหนียวแน่นในส่วนของละครและภาพยนตร์จีน ซึ่งไม่ได้ให้น้ำหนักกับรายการข่าวเท่าไหร่นัก

ด้านช่อง 9 อ.ส.ม.ท. หลังจากแสงชัย สุนทรวัฒน์เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการก็ปรับภาพลักษณ์ของสถานีฯ ช่อง 9 ใหม่โดยเน้นเสนอรายการที่เป็นอาหารสมองด้านความรู้และข่าวสารเป็นหลักเจาะกลุ่มผู้ชมเฉพาะ

ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาเกมการแข่งขันจึงกลายเป็นความพยายามของช่อง 5 ที่จะต้องพยายามหาจุดขายเพื่อสร้างเป็นจุดแข็งดึงเรตติ้งในช่วงไพร์มไทม์ขึ้นมา

เกมการช่วงชิงผู้ชมของช่อง 5 จึงเริ่มขึ้นเมื่อ พล.ท. แป้งเข้ามารับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ให้กับวิกสนามเป้าได้เพียง 7 เดือนเศษ การตัดสินใจปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ใหม่ ได้ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการดึงเรตติ้ง ด้วยการนำรายการละครมาแทนที่ในช่วงเวลา 18.45 น. และเลื่อนการนำเสนอรายการข่าวไปอยู่ที่เวลา 20.00 น. เป้าหมายก็เพื่อดึงผู้ชมรายการข่าวในเวลา 18.30 น.ของสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นให้มาดูละครที่ช่อง 5

"หลังจากเราปรับผังรายการตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม มาจนถึงวันนี้ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราตัดสินใจถูก ซึ่งเราไม่มีเจตนาที่จะไปแข่งขันกับใครเพียงแต่อยากให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกดูรายการโดยไม่ถูกบังคับกับรูปแบบเดิม ๆ" พล.ท.แป้ง มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถานีกองทัพบกช่อง 5 กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

"ช่อง 5 ฉลาดเป็นการเดินเกมที่ถูกต้อง เพราะหากเดินเกมตามช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งดำเนินโดยเอกชนที่มีความคล่องตัวและมีจุดแข็งในเรื่องละครและข่าวจะไม่สามารถชนกับสถานีฯ 2 ช่องนี้ได้ การหลบหลีกเป็นการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีที่ดีทำให้เรตติ้งของช่อง 5 เพิ่มขึ้นในฐานะ MEDIA PLANNER เราก็ต้องมองที่คุณภาพของรายการเป็นหลักว่าตรงกับเป้าหมายของสินค้าที่จะโฆษณาหรือไม่" สุพาณี เดชาบูรณานนท์ MEDIA PLANNING DIRECTOR บริษัทโอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ความสำเร็จของช่อง 5 ในการปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ ทำให้เรตติ้งเริ่มขยับสูงขึ้น ทำให้ช่อง 3 ซึ่งทิ้งช่วงเพียงไม่ถึงเดือนได้ตัดสินใจเปิดเกมรุกปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ใหม่และทำให้ยุทธภูมินี้ยิ่งดูเข้มขึ้นอีกระดับ

การปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ของช่อง 3 เป็นการขยายไพร์มไทม์ให้มากขึ้นด้วยการนำเสนอรายการข่าวเป็น 2 ช่วงจากเดิมจะเสนอเพียงข่าวภาคค่ำเวลา 18.45 - 20.25 น. มาเป็นการเพิ่มรายการข่าวภาคแรกในช่วงเวลา 18.45 - 19.15 น. ต่อด้วยรายการภาพยนตร์จีน และเวลา 19.15 - 19.45 น. ตามด้วยรายการละคร เวลา 20.00 น. จึงจะเข้ารายการข่าวภาคค่ำ

ประวิทย์ มาลีนนท์ รองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 อ.ส.ม.ท. กล่าวถึงเหตุผลในการปรับปรุงผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ว่า เนื่องจากปัจจุบันทุกช่องมีการเปลี่ยนแปลงเวลาในการเสนอรายการข่าวเร็วขึ้น การปรับผังรายการครั้งนี้จึงเป็นการหลีกหนีการแข่งขันโดยหวังผลคือจะได้ผู้ชมรอบนอกกรุงเทพฯ มากขึ้นและคาดหวังว่ารายการในช่วงหลังข่าวภาคแรกจะมีผู้ชมเท่ากับรายการละครหลังข่าวภาคค่ำ

เรตติ้ง พลิกจริงหรือ?

ผลการสำรวจเรตติ้งผู้ชมในช่วงเวลา 18.00 - 22.00 น. ของบริษัทดีมาร์ จำกัด ระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 26 พฤษภาคม ไปยังกลุ่มคนดูที่อายุ 6 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพฯ และภาคกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับเรตติ้งในช่วงเวลาเดียวกันระหว่างวันที่ 12 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม ที่ได้มีการเก็บสถิติไว้ ก่อนมีการปรับผังรายการของช่อง 3 และช่อง 5 (ดูตารางประกอบ) พบว่าในช่วงเวลา 18.45 - 20.00 น. เรตติ้งของผู้ชมช่อง 5 มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ช่อง 3 ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีจำนวนเรตติ้งที่ขยับสูงขึ้น

ซึ่งผลจากการสำรวจของดีมาร์เปรียบเทียบก่อนปรับผังรายการและหลังปรับผังรายการของช่อง 3 และช่อง 5 ในครั้งนี้ ทำให้ในช่วงเวลาระหว่าง 19.00 น. - 20.00 น. แชมป์เก่าอย่างช่อง7 สีถูกแซงขึ้นมาโดยช่อง 5 และช่อง 3

ขณะที่ช่อง 5 เองแม้จะประสบความสำเร็จในการปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ โดยสามารถนำละครมาเป็นจุดขายได้สำเร็จ แต่หากพิจารณาจากผลการสำรวจของดีมาร์แล้วจะพบว่า หลังช่วงเวลา 18.45 - 20.00 น. จำนวนเรตติ้งผู้ชมของช่อง 5 กลับลดลงกว่าก่อนปรับผังรายการ

"ตรงนี้ไม่เป็นความจริง ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแฮปปี้กันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นเอเยนซี่ บริษัทมีเดีย ออฟ มีเดียส์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงเวลาโฆษณาในรายการข่าวไปขายก็แฮปปี้ " พล.ท. แป้งกล่าวยืนยันถึงจำนวนเรตติ้งของช่อง 5 ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเฉพาะช่วงเวลา 18.45 - 20.00 น. เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงรายการข่าวด้วยซึ่งเป็นตัวเลขที่สวนทางกับผลสำรวจของดีมาร์ที่สรุปออกมา

โดย พล.ท. แป้งชี้แจงว่า ตัวเลขเรตติ้งในช่วงรายการข่าวภาคค่ำ 20.00 น.ที่ดีมาร์ทำการสำรวจนั้นเป็นการสุ่มตัวอย่างจากคนในพื้นที่เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่กลุ่มผู้คนของช่อง 5 ส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนในต่างจังหวัด ทางผู้บริหารช่อง 5 จึงได้มีการว่าจ้างให้สถาบันราชภัฏสำรวจครอบคลุมกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย 7 จุดทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ผลการสำรวจใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

"ผลสำรวจบอกเราว่า ในช่วงเวลา 18.30 - 21.00 น. กลุ่มผู้ชมมาอยู่ที่ช่อง 5 ถึง 40% ซึ่งเป็นตัวเลขเรตติ้งที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เท่าตัว" ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 5 กล่าวยืนยัน

อย่างไรก็ตามสำหรับแผนงานขั้นต่อไปของช่อง 5 หลังจากเดินเกมปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์แล้ว พล.ท.แป้ง กล่าวว่าขณะนี้ทางช่อง 5 มีเป้าหมายที่จะตรึงผู้ชมไว้ที่ช่อง 5 โดยเน้นไปที่การให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านรายการข่าว ซึ่งในขณะนี้นอกจากการปรับปรุงด้านฉาก ผู้ประกาศ และการเสนอข่าวรูปแบบใหม่ เน้นเจาะประเด็นลึก ตลอดจนการเพิ่มการเสนอข่าวสั้นภาคดึกแล้ว กล่าวกันว่า ขณะนี้ช่อง 5 มีแผนที่จะปรับโฉมรายการข่าวครั้งใหญ่ซึ่งคาดว่าในระยะอีก 3-4 เดือนที่จะถึงนี้จะเห็นการปรับเปลี่ยนที่ชัดเจน

"เรามีแผนจะทำอะไรอีกหลายอย่าง แต่จากการที่เราเป็นหน่วยงานภาครัฐ การปรับเปลี่ยนจึงต้องค่อยเป็นค่อยไปจะเปลี่ยนจากดำเป็นขาวเลยคงไม่ได้เพราะติดในเรื่องงบประมาณ เรามีแผนที่จะยืดเวลาไพร์มไทม์ออกไปอีก คาดว่าเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ช่อง 5 จะมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้ง ส่วนจะออกมาในรูปแบบไหน เราต้องขอเก็บเป็นความลับไว้ก่อน"

ช่อง 3 มาเหนือชั้น

หากจะพิจารณากันอย่างลึกซึ้งแล้วจะเห็นได้ว่าศึกการชิงเค้กก้อนใหญ่ในช่วงไพร์มไทม์ในครั้งนี้ ผู้บริหารช่อง 3 มีการแก้เกมที่เหนือชั้น เพราะเท่ากับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัว กล่าวคือ ช่อง 3 สามารถทำลายจุดเด่นของช่อง 7 ได้ด้วยการตัดหน้านำรายการข่าวมาเสนอก่อน คือเวลา 18.00 น.

ขณะเดียวกันก็ยังตีกันช่อง 5 ด้วยการนำรายการภาพยนตร์จีนและละครซึ่งเป็นจุดแข็งมาชนกับช่อง 5 ในช่วงเวลา 18.45 - 20.00 น. และล่าสุดได้มีการนำภาพยนตร์จีนเรื่องเปาบุ้นจิ้นมาเสนอในช่วงหลังข่าวภาคค่ำทุกวัน ตามด้วยละครซึ่งเป็นจดแข็งที่กล่าวกันว่าล่าสุดเรตติ้งชนะละครของช่อง 7 ไปแล้ว

"การปรับผังรายการในช่วงไพร์มไทม์ของช่อง 5 และช่อง 3 ผมมองว่าช่อง 3 ได้เปรียบที่สุด เป็นการเดินเกมที่มาเหนือเมฆ เป็นการนำข้อดีของช่อง 5 และข้อพลาดของช่อง 7 มารวมกันแล้ววางกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบให้กับช่อง 3 ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล" แหล่งข่าวในวงการผลิตรายการทีวีกล่าวให้ความเห็น

ขณะที่เกมการแย่งชิงพื้นที่ในช่วงไพร์มไทม์กำลังเริ่มเปิดฉาก หลายฝ่ายเริ่มจับตากระแสการแข่งขันในยุทธภูมิไพร์มไทม์ ซึ่งในวันนี้แม้ช่อง 7 จะเริ่มเสียเรตติ้งให้กับคู่แข่งแต่ดูเหมือน สุรางค์ เปรมปรีดิ์ หรือคุณแดงซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าแม่ช่อง 7 ยังคงใช้การนิ่งเงียบสยบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเคลื่อนไหวตั้งรับแต่อย่างใด

"ผมไม่คิดว่าช่อง 7 จะเสียเปรียบ แม้ช่วงหลังเรตติ้งตกแต่โฆษณาไม่เคยลดลงผมว่าจุดแข็งของช่อง 7 ยังไม่ถูกบั่นทอนแต่กำลังถูกท้าทายมากกว่า" แหล่งข่าวระดับสูงในวงการทีวีกล่าวให้ความเห็น

"ช่อง 7 ในฐานะลีดเดอร์ เราคงต้องรอดูสถานการณ์ และไม่จำเป็นต้องเล่นเกมตาม เพียงแต่ต้องประเมินดูถ้ารับได้ก็ไม่จำเป็นต้องปรับอะไร" แหล่งข่าวระดับสูงในช่อง 7 กล่าว

อย่างไรก็ตามแม้ขณะนี้ช่อง 7 ในฐานะแชมป์ไพร์มไทม์ที่กำลังถูกท้าทายจะยังคงนิ่งเงียบ แต่ว่ากันว่าขณะนี้ สุรางค์ เปรมปรีดิ์ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยภายในช่อง 7 ได้มีการเร่งเสริมสร้างประสิทธิภาพภายในไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงด้านรายการข่าวหรือแม้แต่รายการกีฬาที่ล่าสุดผู้บริหารช่อง 7 ยอมตัดรายการประจำในช่วงไพร์มไทม์ เพื่อนำเวลามาถ่ายทอดสดฟุตบอลศึกยูโร' 96 นับเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านรายการกีฬา ซึ่งตลอดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาทำให้เรตติ้งผู้ชมในช่วงถ่ายทอดสดพุ่งสูงขึ้นโดยปริยาย

ช่อง 3 - ช่อง 7 คู่ชกที่แท้จริง

ขณะเดียวกันช่อง 7 ก็มีการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านรายการละครใหม่จากระบบไร้สต็อคอันเป็นจุดอ่อนของช่อง 7 มาเป็นระบบสต็อค ซึ่งมอบหมายให้ดาราวิดีโอสร้างทีเดียว 3 เรื่องคือ เรื่องดั่งดวงหฤทัยซึ่งยกกองไปถ่ายทำถึงเนปาล ต่อมาคือเรื่อง 111 และสุดท้ายคือเรื่องด้วยแรงอธิษฐาน

"อาจจะเป็นเพราะระยะหลัง เรตติ้งด้านรายการละครของช่อง 7 ลดลง ขณะที่เรตติ้งด้านรายการละครของช่อง 3 สูงขึ้น เพราะที่ผ่านมาระบบการจัดการด้านละครช่อง 3 จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าช่อง 7 มีผู้จัดในสังกัดหลายคน ขณะที่ช่อง 7 ยังไม่มีระบบสต็อคละคร ตรงจุดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณแดงปรับนโยบายมาเป็นระบบสต็อคเพื่อลบจุดอ่อนของตัวเอง" แหล่งข่าวในวงการผลิตรายการให้ความเห็น

การเคลื่อนไหวในเชิงรุก โดยใช้ช่วงเวลาไพร์มไทม์เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์เชื่อได้ว่าจะเป็นการดิ้นรนของทีวีแต่ละช่องที่จะมีให้เห็นไปจนถึงสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน

หากมองในแง่ธุรกิจแล้ว จะเห็นได้ว่าแม้ช่อง 5 จะเป็นผู้เปิดเกมแต่จุดอ่อนของช่อง 5 ก็คือการเป็นหน่วยงานภาครัฐซึ่งความคล่องตัวในการขยายงานจะสู้เอกชนไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องมาแข่งขันในเกมที่ต้องแข่งขันกันระยะยาว ที่ต้องอาศัยสายป่านด้านเงินทุนและแผนงานที่ต่อเนื่อง ขณะนี้ผู้บริหารของช่อง 5 มีเทอมของการบริหารงาน

"ช่อง 5 ไม่ได้รับผลประโยชน์จากเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นในช่วงไพร์มไทม์ เนื่องจากเป็นการให้เช่าเวลาในช่วงรายการละคร ขณะที่รายการข่าวก็ให้บริษัทเอกชนรับเหมาเวลาโฆษณาไปขาย ตรงนี้จะทำให้ช่อง 5 ไม่สามารถเล่นเกมระยะยาวได้เพราะผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้จัดละคร และบริษัทที่ขายโฆษณา" แหล่งข่าวในวงการทีวีกล่าว

ขณะที่ช่อง 7 และช่อง 3 บริหารงานโดยเอกชน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไพร์มไทม์เปรียบเสมือนอู่ข่าวอู่น้ำที่สถานีฯ ทั้ง 2 แห่งเป็นผู้บริหารช่วงเวลาเองทั้งการผลิตและขายโฆษณา ผู้สันทัดกรณีหลายท่านเชื่อมั่นว่าในระยะยาวแล้วคู่ชกที่แท้จริงในศึกไพร์มไทม์น่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างช่อง 7 กับช่อง 3

โดยเฉพาะการจัดทัพครั้งใหม่ของตระกูล "มาลีนนท์" ที่ผลักดันบริษัท บี อี ซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของช่อง 3 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นน่าจะมีความหมายต่อการรุกสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจทีวี ซึ่งปัจจุบันสร้างรายได้ให้กับบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) คิดเป็นสัดส่วนถึง 93% ของรายได้รวมของบริษัท

การนำบีอีซีฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทบางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัดหรือช่อง 3 ซึ่งเป็น 1 ใน 14 บริษัทในเครือของบีอีซีฯ พลิกภาพจากการดำเนินธุรกิจแบบครอบครัวสู่ความเป็นมืออาชีพ ที่จะต้องมีการกำหนดทิศทางและแผนงานอย่างชัดเจนเพื่อสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยมีแหล่งเงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นจุดเสริมสร้างความแข็งแกร่ง

ขณะเดียวกันการก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชนจะทำให้ช่อง 3 เปิดโอกาสให้มืออาชีพเข้ามาร่วมงานมากขึ้นซึ่งอาจจะทำให้เกิดแนวคิดหรือการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ เข้ามาเสริมนอกเหนือจาก 3 กุนซือใหญ่ในตระกูลมาลีนนท์คือ "ประสาร-ประวิทย์-ประชา"

"ปีนี้เราน่าจะได้เห็นการปรับปรุงในลักษณะการจัดทัพของช่อง 3 ซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มมุมมองใหม่ ๆ มิติใหม่ ๆ เข้ามาเป็นสีสันให้เกมการแข่งขันเข้มข้นขึ้น" ผู้สันทัดกรณีให้ความเห็น

การขยายช่วงไพร์มไทม์ น่าจะเป็นอีกกลยุทธ์ที่สถานีโทรทัศน์นำมาใช้เพื่อขยายรายได้ โดยแนวโน้มในการขยายช่วงไพร์มไทม์เริ่มมีมาอย่างต่อเนื่องจากเดิมไพร์มไทม์จะเริ่มที่เวลา 20.00 - 22.00 น. แต่ปัจจุบันช่วงไพร์มไทม์เริ่มขยายเวลามาเป็น 18.00 - 22.00 น. โดยหลังเวลา 22.00 น. จะเรียกว่าเลท ไพร์มไทม์ (LATE PRIMETIME) ซึ่งเวลาตรงนี้อาจกลายเป็นเวลายุทธศาสตร์ในอนาคตก็เป็นได้

"อนาคตอันใกล้นี้ เราเชื่อว่าความหมายของไพร์มไทม์ในแต่ละช่องจะไม่เหมือนกัน คือจะขยายช่วงไพร์มไทม์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ต้องดูว่าช่องไหนจะสามารถหารูปแบบรายการมาเสนอได้ตรงกับความต้องการของผู้ชมได้มากที่สุด" มีเดีย แพลนเนอร์ ของบริษัทโฆษณารายหนึ่ง กล่าวให้ความเห็น

ศึกไพร์มไทม์ในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่มีใครชนะเด็ดขาด ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกันว่า ระหว่างผู้ที่ท้าชนคือช่อง 5 และช่อง 3 กับผู้ที่ถูกท้าทายคือช่อง 7 จะพลิกเกมสู้กันรูปแบบไหน และท้ายสุดใครจะได้เค้กชิ้นใหญ่นี้ไปครอง เพราะทุกฝ่ายเชื่อว่าเกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us