|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แนวโน้มดอกเบี้ยขึ้น น้ำมันแพง การเมืองไม่นิ่ง ฉุดกำลังซื้อลูกค้าตลาดบ้านเดี่ยวกลาง-บนถึงสูงระยะยาว ส่งผลไตรมาสรแรกผู้ประกอบการบ้านเดี่ยวตกเป้าแถบๆ จับตาครึ่งปีหลัง จัดสรร ทิ้งตลาดบ้านเดี่ยวรุกตลาดคอนโดมิเนียม-ทาวน์เฮาส์ รับดีมานด์ตลาดล่าง 1-2ล้านบาท ระบุคอนโดฯแข่งเดือดช่วงท้ายปีหลังจัดสรรแห่ผุดโครงการใหม่เพียบ
สภาวะชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ประสบปัญหายอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ทำให้ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ประกอบการประเภทบ้านเดี่ยว ที่ลูกค้าพากันชะลอการซื้อออกไป เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และปัญหาด้านการเมือง
นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ในไตรมาส 1ปี49 ยอดขายลดลงประมาณ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี48 ทั้งนี้ เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนเริ่มชะลอการซื้อลง จากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และสถานการณ์ทางการเมือง แต่จนถึงขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนจะปรับเป้ายอดขายของปี49 จากเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโตประมาณ 10% เพราะบริษัทฯยังมียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่จะมีการชะลอแผนการซื้อที่ดินสะสมออกไป และหวังว่าในครึ่งปีหลังยอดขายจะดีขึ้นเมื่อสถานการณ์การเมืองนิ่ง และบริษัทจะมีการเร่งยอดขายโดยการออกโปรโมชันส่งเสริมการขายใหม่ๆ และมั่นใจว่าปี49ตลาดจะยังขยายตัวได้ประมาณ 5 - 10% จากปี48
ในขณะที่บ้านเดี่ยวชะลอตัวลงไปมากในไตรมาสแรกของปี จนทำให้ผู้ประกอบการบ้านเดี่ยว หลายๆรายมียอดขายที่ต่ำกว่าเป้า แต่เป็นที่น่าจับตาว่าบริษัทที่มีการปรับตัว และหันมาจับตลาดคอนโดมิเนียม 1-2 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ ระดับล่าง เป็นการเสริมโปรดักส์ให้ครอบคลุมมากตลาดมากขึ้น ซึ่งแต่ละรายมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาทิ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัทพลัสพร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัทพฤกษา รียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทำให้ในไตรมาสรแรก เกิดการชะลอตัดสินใจซื้อลงมาก แต่บริษัทก็ยังมียอดขายที่ดี โดยมียอดขาย 2,200 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 1,800 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุที่มียอดขายสูงกว่าเป้านั้น มาจากยอดขายในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งเดิมวางไว้ที่ 400 ล้านบาท แต่ ณ สิ้นไตรมาสแรกมียอดขายถึง 500 ล้านบาท
ส่วนบ้านเดี่ยวระดับกลาง มียอดขายเกินเป้าเล็กน้อย จากที่วางไว้1,400ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่มียอดขายเกินเป้านั้นเพราะ เพอร์เฟคฯ มีบ้านสร้างเสร็จก่อนขายไว้รองรับลูกค้า ประกอบกับ ผู้ประกอบการรายเล็กหายจากตลาดไปเยอะ จากผลของการเข้มงวดปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน ทำให้สามารถขายสินค้าได้ต่อเนื่อง สำหรับบ้านแพง บริษัทมียอดขาย 210ล้านบบาท เกินเป้าอยู่ 10ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่มียอดขายสูงเกินเป้านั้น เพราะขณะนี้สินค้าใหม่ไม่มีเข้ามาเพิ่มในตลาด ในขณะที่บริษัทยังมีสต็อกบ้านขายอยู่ทำให้ บริษัทมียอดขายที่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกบ้านแพงและบ้านระดับกลางจะมียอดขายที่สูงแต่ ในช่วงไตรมาสหลังๆ ของปี บริษัทมีแผนจะปรับลดในส่วนของบ้านแพงลงไปและหันไปเน้นพัฒนาทาวน์เฮาส์เพิ่มากขึ้น เนื่องจากความต้องการมีในตลาดทาวน์เฮาส์มีจำนวนที่สูงอยู่รองจากตลาดคอนโดมิเนียมระดับ 1-2 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมนั้น จะยังพัฒนาออกมาในสีดส่วนเดิม ทั้งนี้คาดว่าในช่วงปลายปีตลาดคอนโดมิเนียมจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการออกมาจำนวนมาก
นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อดอยขายของธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยว แต่เนื่องจากทำเลที่บริษัท เปิดขายอยู่มีดีมานด์ที่ต่อเนื่อง ประกอบกับ ยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งมีมูลค่าขายรวม 300 ล้านบาทที่บริษัทสามารถปิดการขายได้ภายในเวลา2 วัน ทำให้บริษัทมียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้900ล้านบาทใฝนช่วงไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีหากปัญหาการเมืองยังไม่นิ่งก็จะยังส่งผลต่อตลาดอสังหาฯอยู่ แต่หากการเมืองนิ่ง จะช่วยให้ตลาดดีขึ้นมาก ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทต้องมีการปรับตัวรับสถานการณ์ให้มากขึ้นโดยจะมองหาพันธมิตรสถาบันการเงินเพื่อ เสนอแพกเก็จการเงิน และโปรโมชันใหม่ๆ กระตุ้นการซื้อลูกค้า ส่วนแผนของบริษัทนั้น ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทคาดว่าในปีนี้จะมียอดรับรู้รายได้จาก คอนโดมิเนียม 10% บ้านเดี่ยวระดับกลาง 50-60% ทาวน์เฮาส์ 25% บ้านเดี่ยวราคาแพง 5%
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทไม่มีนโยบายในการปรับเป้ารายได้ โดยยังประมาณการรายได้ทั้งปีไว้ที่ 9,000 ล้านบาท แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงเป็นขาขึ้น เนื่องจากความต้องการบ้านระดับล่างยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเป็นความต้องการที่แท้จริง ไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร
ส่วนการออกหุ้นกู้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของบริษัทนั้น ก็ยังไม่มีความจำเป็นเนื่องจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ อีกทั้งยังมีกระแสเงินสดจากการขายหุ้นไอพีโอ เหลืออยู่อีกมาก ในขณะที่กำไรในไตรมาส 1ของปีนี้ ก็ยังอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งส่งผลให้ หุ้นของ บริษัท ได้รับการประเมินปรับเพิ่มเรทติ้งจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรรวมทั้งหุ้นกู้ไม่มีประกัน และตั๋วแลกเงินของ บริษัท เป็นระดับ 'BBB+' พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตป็น 'บวก' เพราะเห็น บริษัทที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อีกทั้งมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง
|
|
|
|
|