ตลาดหลักทรัพย์ฯไอเดียบรรเจิด เสนอโครงการ "มีเงินมีเก็บ" ให้แก่สำนักงานก.ล.ต. เปิดทางให้บลจ.จับสลากให้สิทธิประโยชน์ผู้ลงทุนกองทุน LTF ตั้งแต่เดือนก.ค.-ธ.ค. 2550 มีสิทธิลุ้นรางวัลบลจ.จ่ายค่าหน่วยลงทุนให้ในเดือนที่ 4 หวังปลุกตลาดในปี 50 พร้อมเดินหน้าเจาะฐานนักลงทุนหน้าใหม่ พนักงานบจ. และกระตุ้นให้นักลงทุนเพิ่มวงเงินลงทุนเต็มเพดาน 300,000 บาทต่อราย ดันNAVกองทุนหุ้นระยะยาวทะลุ 6 หมื่นล้านบาท ในปีหน้าจากปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.มีแผนเพิ่มมูลค่าการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จากปัจจุบันมีอยู่ 15,000 ล้านบาท ให้เป็น 60,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2550 โดยวางแนวทางเพิ่มมูลค่าการลงทุนไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ การเพิ่มวงเงินลงทุนของผู้ลงทุนเดิม จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 บาทต่อรายให้เต็มเพดาน 300,000 บาทต่อราย และการขยายฐานนักลงทุนใหม่ให้ได้อีก 1 เท่าตัว หรือเพิ่มอีก 100,000 รายภายในสิ้นปีหน้า
"ฐานผู้ลงทุนในแอลทีเอฟขณะนี้มีอยู่ประมาณ 100,000 ราย และการลงทุนเฉลี่ยต่อรายอยู่ที่ 150,000 บาท ซึ่งถ้าเราเพิ่มเงินลงทุนต่อรายให้เป็น 300,000 บาทได้ ก็จะมีเงินลงทุนเพิ่มเข้ามาในระบบแอลทีเอฟอีก 15,000 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนใหม่อีก 100,000 ราย หากลงทุนคนละ 300,000 บาท จะทำให้มีเงินลงทุนใหม่เข้ามาอีก 30,000 ล้านบาท" นายวิเชฐ กล่าว
ทั้งนี้ ตลท. ได้เสนอโครงการมีเงินต้องเก็บ มีแอลทีเอฟต้องใช้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการให้สิทธิประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในแอลทีเอฟ เริ่มจากเดือนกรกฎาคม 2549 ถึงธันวาคม 2550 โดยตั้งแต่เดือนที่ 4 ของระยะเวลาโครงการจะให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แต่ละแห่งจับฉลากรายชื่อผู้ถือหน่วยแอลทีเอฟขึ้นมาในสัดส่วน 5% ของมูลค่าแอลทีเอฟที่แต่ละ บลจ. บริหารอยู่ แล้วดูว่าในเดือนก่อนหน้านั้น นักลงทุนผู้โชคดีซื้อหน่วยลงทุนแอลทีเอฟมูลค่าเท่าใด และบลจ.จะจ่ายค่าหน่วยลงทุนในเดือนที่ 4 เป็นมูลค่าที่เท่ากับเดือนก่อนให้ฟรี แต่มีข้อแม้ว่านักลงทุนรายดังกล่าวต้องลงทุนในแอลทีเอฟติดต่อกันมาอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่ง ก.ล.ต. เห็นชอบในหลักการแล้ว
ขณะเดียวกัน ตลท. จะพยายามเจาะตลาดพนักงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่าง ๆ ที่มีอยู่ประมาณ 60,000-70,000 คน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะต้องผลักดันให้พนักงาน บจ. มาลงทุนในแอลทีเอฟให้ได้ 80% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 50,000 คน ซึ่งที่ผ่านมา ตลท. ได้เข้าไปนำเสนอข้อมูลการลงทุนในแอลทีเอฟในเครือบริษัทใหญ่ ๆ มาแล้ว 5-6 แห่ง และกำลังหารือเพื่อนำข้อมูลการลงทุนในแอลทีเอฟไปเผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตภายในบริษัท หรือ อินทราเน็ตของบริษัทต่าง ๆ ด้วย
รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2548 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของบลจ.ทั้งระบบอยู่ที่ 14,176.47 ล้านบาท ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2549 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนหุ้นระยะยาวของบลจ.ทั้งระบบปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 15,647.12 ล้านบาท
โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 บลจ.กรุงไทยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 221.85 ล้านบาท บลจ.กสิกรไทย 3,884.33 ล้านบาท บลจ.ทหารไทย 1,305.52 ล้านบาท บลจ.ทิสโก้ 543.15 ล้านบาท บลจ.ไทยพาณิชย์ 4,158.97 ล้านบาท บลจ.ธนชาต 627.41 ล้านบาท บลจ.นครหลวงไทย 189.48 ล้านบาท บลจ.บีที 39.64 ล้านบาท บลจ.ฟินันซ่า 90.67 ล้านบาท บลจ.ยูโอบี (ไทย) 360.37 ล้านบาท บลจ.อเบอร์ดีน 996.23 ล้านบาท บลจ.อยุธยาเจเอฟ 569.98 ล้านบาท บลจ.เอ็มเอฟซี 275.69 ล้านบาท บลจ.แอสเซ็ท พลัส 176.66 ล้านบาท บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) 324.85 ล้านบาท บลจ.บัวหลวง 1,346.44 ล้านบาท บลจ.พรีมาเวสท์ 222.36 ล้านบาท และบลจ.วรรณ 313.42 ล้านบาท
|