“โกลเด้น เทคโนโลยี่” ไม่สนรัฐบาลเลือกที่ดินผืนงานบริเวณถนนบางนา-ตราด กม.23 เป็นที่ตั้งรัฐสภาแห่งใหม่หรือไม่ เดินหน้าเจรจานักลงทุนไทย-ต่างชาติ ร่วมทุนโครงการยักษ์ สุวรรณภูมิ เซ็นเตอร์ มูลค่า 100,000 ล้านบาท คาดสรุปผลใน 1-2 เดือนนี้
ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ยังอึมครึม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ เรื่องการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะเลือกใช้พื้นที่แปลงใดเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งใหม่
และท่ามกลางความไม่แน่นอนว่ารัฐบาลจะตัดสินใจเลือกที่ดินแปลงใด ในส่วนของ บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี่ กลับมีความมั่นใจมากว่า ที่ดิน จำนวน 4,600 ไร่ ของบริษัทที่ตั้งอยู่บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.32.5 อาจจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นที่ตั้งรัฐสภาแห่งใหม่ และจะทำให้ที่ดินในบริเวณดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที รวมถึงมีศักยภาพในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ได้ นั่นคือโครงการ“สุวรรณภูมิ เซ็นเตอร์”
ภายในโครงการสุวรรณภูมิ เซ็นเตอร์ ประกอบด้วย ที่พักอาศัย เอนเตอร์เทนเมนท์ โรงแรม พลาซ่า และสวนสนุกขนาดใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ณัฐสิทธิ์ อิทธิถาวร ผู้อำนวยการโครงการสุวรรณภูมิเซ็นเตอร์ บริษัท กฤษดานคร กรุ๊ป กล่าวว่า ที่ดินในโครงการมีจำนวน 4,600 ไร่ วางแผนพัฒนาโครงการ(มาสเตอร์แพลน)ไว้ว่า ประกอบด้วยโครงการ 7 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ 1.ที่ตั้งรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งบริษัทเสนอมอบที่ดินให้สร้างรัฐสภาแห่งใหม่จำนวนกว่า 400 ไร่ และถนนภายในโครงการอีก 300 ไร่ รวมเป็น 700 ไร่นั้น ซึ่งยังไม่รู้ว่ารัฐสภาจะเลือกที่ดินแปลงใด เพราะมีผู้เสนอตัวเข้ามามาก แต่ถ้ารัฐบาลไม่เลือกที่ดินของบริษัทก็ไม่มีผลต่อการพัฒนาโครงการ
บัญชา ยินดี กรรมการ บริษัท โกลเด้นฯ กล่าวว่า บริษัทเตรียมความพร้อมที่จะเดินหน้าพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยจะเจรจากับนักลงทุนที่สนใจเข้าร่วมทุนในรายละเอียดของการร่วมทุน และรูปแบบโครงการ ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีกลุ่มทุนสนใจติดต่อขอเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทหลายราย แต่บริษัทยังไม่พร้อมจึงยังไม่ได้เจรจาอย่างเป็นทางการ
คาดสรุปผลร่วมทุนใน1-2 ด.
ปัจจุบันบริษัทเตรียมพร้อมทั้งข้อมูลและรูปแบบของโครงการ ซึ่งมีการวางแผนอย่างชัดเจนมากขึ้น ตลอดจนประเมินราคาที่ดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนจากต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน รวมถึงบริษัท กฤษดามหานคร เข้ามาเจรจาเงื่อนไขการร่วมทุน คาดว่าจะสามารถจะตกลงเงื่อนไขและข้อตกลงเบื้องต้นได้ภายใน 1-2 เดือนนี้
“บมจ.กฤษดาฯจะเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการ และเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไป แต่ทั้งนี้ ไม่ว่ากฤษดาฯจะร่วมทุนหรือไม่ก็ตาม ทางบริษัทคงจะให้ กฤษดาฯเป็นผู้บริหารโครงการนี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาที่ดินแปลงดังกล่าว ”
บัญชา กล่าวว่า หากกฤษดาฯรับบริหารโครงการสุวรรณภูมิเซ็นเตอร์ ในอนาคตกฤษดาฯจะมีรายได้จากการบริหารโครงการประมาณ3-5% ของมูลค่าขายที่ดิน โดยมูลค่าขายที่ดินมีมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท เท่ากับว่ากฤษดาฯจะมีรายได้ประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท และสามารถได้รับงานเพิ่มเติมจากการเป็นผู้รับก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคทั้งโครงการอีกด้วย โดยการประเมินเบื้องต้นมูลค่าโครงการดังกล่าว น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท
“สำหรับผู้ร่วมทุนส่วนใหญ่สนใจที่ดินของบริษัทมาก เนื่องจากหากที่ดินของบริษัทได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของรัฐสภาใหม่แล้ว จะทำให้ผู้ร่วมทุนเกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้มั่นใจในศักยภาพของโครงการ ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศข่าวเรื่องที่ตั้งรัฐสภาแห่งใหม่ในไม่ช้านี้”
“ในส่วนข่าวการชำระหนี้ธนาคารกรุงไทยของกฤษดาฯ ก็คงเป็นไปได้ที่ทางบริษัทเตรียมความพร้อมเรื่องการไถ่ถอนที่ดินเพื่อยกให้กับรัฐสภา และเพื่อให้บริษัทกลับเป็นลูกหนี้ปกติ ซึ่งหากต้องใช้วงเงินกู้กับสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการร่วมทุนในโครงการก็สามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้น ซึ่งในการไถ่ถอนที่ดินเพื่อยกให้รัฐสภานั้น ธนาคารกรุงไทยก็พร้อมที่จะให้ทำการไถ่ถอนที่ดินได้อยู่แล้ว” บัญชา กล่าว
สำหรับรายละเอียดของโครงการดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ปีก่อน ทางกฤษดานคร กรุ๊ป ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU)เป็นครั้งแรกในเมืองไทย กับต้วน เซียน เหนียน ผู้แทนเขตปกครองใหม่ ซิวเจียง ซีอาน เพื่อร่วมทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งบริษัท โกลเด้นฯ เป็นเจ้าของที่ดินและทางกฤษดาฯเป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาที่ดิน
เนรมิตเมืองคู่แฝด
ในครั้งนั้น วิชัย กฤษดาธานนท์ ประธานที่ปรึกษากลุ่มกฤษดานคร กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นความร่วมมือในการพัฒนาโครงการระหว่างเอกชนกับรัฐบาลของทางซีอาน บนเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ มูลค่าโครงการเฉพาะส่วนนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งรูปแบบจะแยกเป็น การจำลอง โรงละครที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนครซีอาน ในสมัยราชวงศ์ทังต์มาตั้งอยู่ในที่นี้ มีสินค้าจากจีนมาร่วมแสดง และอื่นๆ
ส่วนรายละเอียดคณะทำงานจะหารือร่วมกัน แต่มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน เพื่อให้โครงการเดินตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้ความร่วมมือกับซีอาน จะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและร่วมถึงประเทศอื่นๆเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย จากความยิ่งใหญ่ของโรงละครและโครงการอื่นๆที่จะเกิดขึ้น โดยต้วน เซียน เหนียน ระบุว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวจากจีนจะเข้ามาในไทยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนต่อปี และเมื่อพัฒนาโครงการแล้วเสร็จจะทำเมืองแห่งนี้เป็นเมืองคู่แฝดที่รองรับการเติบโตของสนามบินสุวรรณภูมิ
|