นักลงทุนทิ้งหุ้นบิ๊กแคป ฉุดดัชนีตลาดหุ้นร่วงเกือบ 13 จุด เหตุแนวโน้มดอกเบี้ย-ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น "วิจิตร"เชื่อเอกชนยังพร้อมลงทุนเพิ่ม ขณะที่วิเชฐเผยไม่กังวลปัจจัยการเมือง ระบุอุณหภูมิความร้อนแรงน้อยกว่าช่วงก่อนการเลือกตั้ง ด้านบล.ยูโอบีเคย์เฮียน ห่วงรัฐบาลขัดตาทัพสานต่องานยาก หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือ 4.2-4.5% คาดไตรมาส1/49 กลุ่มแบงก์กำไรหด
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้(10 เม.ย.) ดัชนีเปิดตัวในแดนลบก่อนที่จะมีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ ขณะที่ค่าเงินบาททำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 ปี โดยมีแรงขายในกลุ่มธนาคารส่งผลทำให้มีแรงเทขายออกมา โดยตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ก่อนจะปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 757.51 จุด ลดลง 12.82 จุด หรือ 1.66% มูลค่าการซื้อขาย 17,319.60 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 540.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 990.39 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,441.26 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด คือ กลุ่มธนาคาร ดัชนีปิดที่ 293.09 จุด ลดลง 5.48 จุด หรือ 1.84% มูลค่าการซื้อขาย 3,663.13 ล้านบาท, กลุ่มพลังงาน ดันปิดที่ 16,000.55 จุด ลดลง 380.92 จุด หรือ 2.33% มูลค่าการซื้อขาย 2,913.64 ล้านบาท, กลุ่มสถาบันการเงิน ดัชนีปิดที่ 1,219.88 จุด ลดลง 19.94 จุด หรือ 1.61% มูลค่าการซื้อขาย 1,023.13 ล้านบาท
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวคงไม่ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ชะลอแผนลงทุนออกไป เนื่องจากปัจจุบันอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 72% ซึ่งทำให้มีความจำเป็นที่ภาคธุรกิจจะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บางบริษัทอาจจะรอดูนโยบายของภารัฐเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ และโครงการของภาครัฐอื่น ๆ ว่าจะสามารถเริ่มได้เมื่อใด ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้รับจากการเมืองจนถึงขั้นสะดุดเนื่องจากหากพิจารณามูลค่าการซื้อขายก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอ
สำหรับกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่งของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นในเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนายกิตติรัตน์ ยังไม่ได้ยื่นหนังสือหรือแจ้งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการ ตลท. ทราบเลย นอกจากนี้ที่ผ่านมาถือว่านายกิตติรัตน์ เป็นบุคคลที่ทำงานให้กับ ตลท.ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด
**"วิเชฐ"ชี้ทิ้งหุ้นแค่ปรับฐาน
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลท.เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนจากปัจจัยทางการเมืองนั้นถือว่าไม่น่ากังวล เมื่อเทียบกับความร้อนแรงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งสูงกว่านี้มากโดยทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อย่างไรก็ตามเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ประกาศจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไร และการที่วานนี้ดัชนีปรับตัวลดลง ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการเทขายทำกำไรตามปกติ
"ตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรง โดยนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรหลังจากที่อั้นมานาน เพราะตลาดหลักทรัพย์ไม่ชอบอะไรที่ไม่แน่นอน ดังนั้นเมื่อมีความแน่นอนจึงมีแรงซื้อเข้ามา แต่เมื่อดัชนีปรับตัวสูงเกินไปก็จะมีแรงเทขายทำกำไร ซึ่งตามปกติดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยจะขึ้นไม่เกิน 0.5% เพราะถ้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ 1-2% ก็ย่อมมีแรงเทขายทำกำไรออกมา เพราะนักลงทุนส่วนหนึ่งก็จะพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิค"นายวิเชฐกล่าว
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด อาจจะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังจากที่สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐมีทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจขึ้นมากจนเกินไป ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย ไหลออกไปยังต่างประเทศได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นๆ เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
"การลงทุนของกองทุนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวนั้น จะมีการกำหนดเป้าหมายของผลตอบแทนว่าจะอยู่ในระดับใด ซึ่งถ้าถึงระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ก็จะขายทำกำไรออกมา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ"นายวิเชฐกล่าว
อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นยังสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะยังไม่มีเงินทุนจากตลาดหลักทรัพย์ไหลไปสู่ตลาดเงินในประเทศแต่อย่างใด
**ห่วงเศรษฐกิจปรับเป้าGDP
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOKH เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้มีการปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารพาณิชย์อาจต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยสินเชื่อ และเงินฝาก ซึ่งจะมีผลทำให้การลงทุนการบริโภคมีการชะลอตัวและทำให้เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งในสัปดาห์หน้ากลุ่มธนาคารจะเริ่มมีการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส1/49 คาดว่าจะมีปรับตัวลดลงจากปี 48 ทำให้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคารออกมา รวมถึงกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) เหลือ 4.2-4.5% จากเดิมที่ 4.7-5% เนื่องจาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับผลกระทบจากปัจจัยการทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลที่จะมีการจัดตั้งมาใหม่เป็นเพียงรัฐบาลขัดตาทัพซึ่งยังไม่สามารถที่จะเริ่มดำเนินโครงการใหม่ๆ และจากการที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 23 เม.ย. มี 6 เขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครเพียง 1 คน คาดว่าในอีก 1-2 สัปดาห์จะมีการเลือกตั้งซ่อมอีกครั้ง และคาดว่าจะเปิดประชุมสภาได้ในเดือนพ.ค. ส่งทำให้ในไตรมาส2/49 หรือ ครึ่งปีหลังจะมีผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ จีดีพี มีการชะลอตัว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงแต่จะไม่มากเท่ากับวานนี้ จากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น และผลประกอบการกลุ่มธนาคารจะมีการปรับตัวลดลง ซึ่งยังคงกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยมองแนวรับที่ระดับ 751-753 จุด แนวต้านที่ระดับ 761-763 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคแต่จะมีการปรับตัวลดลงมากกว่า เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่มีการปรับตัวลดลง คือ พลังงาน และธนาคาร ซึ่งมีผลต่อมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป)ถึง 50% เนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ทำให้มีแรงขายหุ้นพลังงาน และกังวลในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าธนาคารสหรัฐ(เฟด) จะยังไม่ยุติการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกมีการอ่อนตัวรวมถึงในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีการเรียกประชุมพรรคไทยรักไทย ในเรื่องแนวทางการคัดเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งจากความกังวลดังกล่าวก็ยังคงกดดันให้ตลาดหุ้นไทยยังคงอ่อนตัวลง โดยมองแนวรับที่ระดับ 750-752 จุด แนวต้านที่ระดับ 764-765 จุด
|