Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน11 เมษายน 2549
ดบ.-น้ำมันฉุดหุ้นร่วง13จุดโบรกฯห่วงรัฐบาล"หุ่นเชิด"-การเมืองดึงศก.             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุนทิ้งหุ้นบิ๊กแคป ฉุดดัชนีตลาดหุ้นร่วงเกือบ 13 จุด เหตุแนวโน้มดอกเบี้ย-ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น "วิจิตร"เชื่อเอกชนยังพร้อมลงทุนเพิ่ม ขณะที่วิเชฐเผยไม่กังวลปัจจัยการเมือง ระบุอุณหภูมิความร้อนแรงน้อยกว่าช่วงก่อนการเลือกตั้ง ด้านบล.ยูโอบีเคย์เฮียน ห่วงรัฐบาลขัดตาทัพสานต่องานยาก หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือ 4.2-4.5% คาดไตรมาส1/49 กลุ่มแบงก์กำไรหด

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้(10 เม.ย.) ดัชนีเปิดตัวในแดนลบก่อนที่จะมีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ ขณะที่ค่าเงินบาททำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 ปี โดยมีแรงขายในกลุ่มธนาคารส่งผลทำให้มีแรงเทขายออกมา โดยตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ก่อนจะปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 757.51 จุด ลดลง 12.82 จุด หรือ 1.66% มูลค่าการซื้อขาย 17,319.60 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 540.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 990.39 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,441.26 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด คือ กลุ่มธนาคาร ดัชนีปิดที่ 293.09 จุด ลดลง 5.48 จุด หรือ 1.84% มูลค่าการซื้อขาย 3,663.13 ล้านบาท, กลุ่มพลังงาน ดันปิดที่ 16,000.55 จุด ลดลง 380.92 จุด หรือ 2.33% มูลค่าการซื้อขาย 2,913.64 ล้านบาท, กลุ่มสถาบันการเงิน ดัชนีปิดที่ 1,219.88 จุด ลดลง 19.94 จุด หรือ 1.61% มูลค่าการซื้อขาย 1,023.13 ล้านบาท

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวคงไม่ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ชะลอแผนลงทุนออกไป เนื่องจากปัจจุบันอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 72% ซึ่งทำให้มีความจำเป็นที่ภาคธุรกิจจะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บางบริษัทอาจจะรอดูนโยบายของภารัฐเกี่ยวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ และโครงการของภาครัฐอื่น ๆ ว่าจะสามารถเริ่มได้เมื่อใด ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้รับจากการเมืองจนถึงขั้นสะดุดเนื่องจากหากพิจารณามูลค่าการซื้อขายก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอ

สำหรับกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่งของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นในเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนายกิตติรัตน์ ยังไม่ได้ยื่นหนังสือหรือแจ้งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการ ตลท. ทราบเลย นอกจากนี้ที่ผ่านมาถือว่านายกิตติรัตน์ เป็นบุคคลที่ทำงานให้กับ ตลท.ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด

**"วิเชฐ"ชี้ทิ้งหุ้นแค่ปรับฐาน

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลท.เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนจากปัจจัยทางการเมืองนั้นถือว่าไม่น่ากังวล เมื่อเทียบกับความร้อนแรงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งสูงกว่านี้มากโดยทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อย่างไรก็ตามเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ประกาศจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไร และการที่วานนี้ดัชนีปรับตัวลดลง ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการเทขายทำกำไรตามปกติ

"ตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรง โดยนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรหลังจากที่อั้นมานาน เพราะตลาดหลักทรัพย์ไม่ชอบอะไรที่ไม่แน่นอน ดังนั้นเมื่อมีความแน่นอนจึงมีแรงซื้อเข้ามา แต่เมื่อดัชนีปรับตัวสูงเกินไปก็จะมีแรงเทขายทำกำไร ซึ่งตามปกติดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยจะขึ้นไม่เกิน 0.5% เพราะถ้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ 1-2% ก็ย่อมมีแรงเทขายทำกำไรออกมา เพราะนักลงทุนส่วนหนึ่งก็จะพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิค"นายวิเชฐกล่าว

นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด อาจจะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังจากที่สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐมีทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจขึ้นมากจนเกินไป ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย ไหลออกไปยังต่างประเทศได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นๆ เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค

"การลงทุนของกองทุนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวนั้น จะมีการกำหนดเป้าหมายของผลตอบแทนว่าจะอยู่ในระดับใด ซึ่งถ้าถึงระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ก็จะขายทำกำไรออกมา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ"นายวิเชฐกล่าว

อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นยังสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะยังไม่มีเงินทุนจากตลาดหลักทรัพย์ไหลไปสู่ตลาดเงินในประเทศแต่อย่างใด

**ห่วงเศรษฐกิจปรับเป้าGDP

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOKH เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้มีการปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารพาณิชย์อาจต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยสินเชื่อ และเงินฝาก ซึ่งจะมีผลทำให้การลงทุนการบริโภคมีการชะลอตัวและทำให้เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งในสัปดาห์หน้ากลุ่มธนาคารจะเริ่มมีการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส1/49 คาดว่าจะมีปรับตัวลดลงจากปี 48 ทำให้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคารออกมา รวมถึงกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) เหลือ 4.2-4.5% จากเดิมที่ 4.7-5% เนื่องจาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับผลกระทบจากปัจจัยการทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลที่จะมีการจัดตั้งมาใหม่เป็นเพียงรัฐบาลขัดตาทัพซึ่งยังไม่สามารถที่จะเริ่มดำเนินโครงการใหม่ๆ และจากการที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 23 เม.ย. มี 6 เขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครเพียง 1 คน คาดว่าในอีก 1-2 สัปดาห์จะมีการเลือกตั้งซ่อมอีกครั้ง และคาดว่าจะเปิดประชุมสภาได้ในเดือนพ.ค. ส่งทำให้ในไตรมาส2/49 หรือ ครึ่งปีหลังจะมีผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ จีดีพี มีการชะลอตัว

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงแต่จะไม่มากเท่ากับวานนี้ จากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น และผลประกอบการกลุ่มธนาคารจะมีการปรับตัวลดลง ซึ่งยังคงกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยมองแนวรับที่ระดับ 751-753 จุด แนวต้านที่ระดับ 761-763 จุด

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคแต่จะมีการปรับตัวลดลงมากกว่า เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่มีการปรับตัวลดลง คือ พลังงาน และธนาคาร ซึ่งมีผลต่อมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป)ถึง 50% เนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ทำให้มีแรงขายหุ้นพลังงาน และกังวลในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าธนาคารสหรัฐ(เฟด) จะยังไม่ยุติการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกมีการอ่อนตัวรวมถึงในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีการเรียกประชุมพรรคไทยรักไทย ในเรื่องแนวทางการคัดเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งจากความกังวลดังกล่าวก็ยังคงกดดันให้ตลาดหุ้นไทยยังคงอ่อนตัวลง โดยมองแนวรับที่ระดับ 750-752 จุด แนวต้านที่ระดับ 764-765 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us