|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
คลังเร่งหารือกฤษฎีกาทางออกแปรรูปกฟผ. ระบุยอมรับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดแต่ติดปัญหาธุรกรรมที่ทำขึ้นจะแก้ไขต่ออย่างไร หวั่นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นถอนหุ้นปตท.ออกจากตลาดจี้สคร.เข้าชี้แจงรายละเอียดหาทางป้องกัน เบื้องต้นเชื่อทำถูกต้องไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ห่วงดึงประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนมาเล่นงาน วอนทุกฝ่ายให้มองผลประโยชน์ที่ประเทศได้รับมากกว่าเรื่องอื่น
นายไชยยศ สะสมทรัพย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เปิดเผยว่า กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป กฟผ. 2 ฉบับ คือ พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548 นั้น ทางสคร.ได้ดำเนินการหารือกับสำนักงานกฤษฎีกาว่าจะหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไร
เนื่องจากในช่วงเวลาที่จัดตั้งเป็นบมจ.กฟผ. นั้นได้มีการดำเนินธุรกรรมสัญญาต่างๆ ไปหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงหรือเจ้าภาพที่แท้จริงคือกระทรวงพลังงาน แต่กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่จำเป็นจะต้องเข้าไปรับรู้เพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้
"เมื่อศาลปกครองมีมติแล้วว่าพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับเป็นโมฆะก็ต้องยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นและช่วยกันหาทางออกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ธุรกรรมที่ได้ลงมือทำไปแล้วต้องมาตีความว่าเป็นโมฆะหรือไม่อย่างไร ต้องไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อช่วยกันแก้ไขช่วยกันถอดชนวนนี้" นายไชยยศกล่าว
สำหรับกรณีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเตรียมยื่นให้ศาลปกครองสูงสุดตีความถอดหุ้นบมจ.ปตท.ออกจากตลาดนั้น นายไชยยศกล่าวว่า ในช่วงที่ปตท.ดำเนินการกระจายหุ้นเพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2544 นั้น เขาไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสคร.จึงไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ได้เรียกสคร.เข้ามาชี้แจงรายละเอียดในสาระสำคัญประมาณ 7 - 8 เรื่อง ซึ่งในเบื้องต้นเท่าที่รับรายงานก็ไม่พบว่าการแปรรูปและกระจายหุ้นของปตท.นั้นขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด
โดยประเด็นที่ปตท.ได้รับการจับตามองจากหลายๆ ฝ่ายที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากการกระจายหุ้นในครั้งนั้นประเด็นที่หลายๆ ฝ่ายจับตามองมากคือกลุ่มทุนของพรรคไทยรักไทยโดยตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ และมหากิจศิริเป็นกลุ่มที่ได้รับหุ้นจากการจองในครั้งนี้มากที่สุด ซึ่งเมื่อดูในภาพรวมแล้วสัดส่วนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 20 กันยายน 2548 บุคคลธรรมดาและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้นรวมกันเพียง 5.8% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งหุ้นจำนวน 70% ยังเป็นกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และที่เหลือเป็นนักลงทุนสถาบันและกองทุนรวมเป็นผู้ถือ
ทั้งนี้การกระจายหุ้นในครั้งนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการขายให้กับสถาบันและกองทุนรวมมากเนื่องจากสามารถรับประกันการจำหน่ายได้อย่างแน่นอน แต่สถาบันหรือกองทุนรวมที่เข้ามารับซื้อจะมีใครใช้เป็นนอมินีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา สิ่งที่ควรรับฟังมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องรายได้ที่ส่งเข้ารัฐ โดยก่อนกระจายหุ้นที่ปตท.ยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่นั้นในปี 2542 มีการส่งรายได้เข้ารัฐ 4.7 พันล้านบาท แต่เมื่อกระจายหุ้นในปี 2544 ในไตรมาสสุดท้าย(ต.ค. -ธ.ค.) ส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบเงินปันผลและภาษีถึง 5 พันล้านบาท และล่าสุดในปี 2548 จ่ายเงินปันผลและภาษีสูงถึง 3.9 หมื่นล้านบาท จึงอยากให้มองในจุดนี้บ้าง
"การแปรรูปรัฐวิสาหกิจแต่ละตัวนั้นมีความจำเป็นหรือไม่ต้องดูที่ความมั่นคงและความเกี่ยวโยงกับสังคม การแปรรูปเป็นการเข้าไประดมทุนในตลาดถ้าหากยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ก็จะกลายเป็นภาระของรัฐบาลต่อไป แทนที่จะนำเงินส่วนที่ซับพอร์ตตรงนี้มาพัฒนาประเทศในส่วนอื่นก็เป็นการเสียโอกาสไป แต่อย่างไรก็ตามการแปรรูปก็ต้องคำนึงด้วยว่าตัวไหนน่าทำตัวไหนไม่น่าทำ ให้เกิดผลกระทบต่อสังคมน้อยที่สุดและมีความโปร่งใสมากที่สุด" นายไชยยศกล่าว
|
|
|
|
|