Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2539
"ซีโนบริต คาถาพ่อมดการเงินไร้มนต์ขลัง"             
โดย ไพเราะ เลิศวิราม
 


   
search resources

ซีโนบริต




ใครจะคาดคิดว่าซีโนบริต บริษัทเทรดดิ้งเฟิร์มเก่าแก่อายุครึ่งทศวรรษจะมาถึงจุดวิกฤติสุดขีด ตระกูลโฮลท์ผู้ก่อตั้งต้องกลายเป็นแค่อดีต การตัดสินใจขายหุ้นให้กับไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์แห่งบ้านฉาง เพื่อกอบกู้ธุรกิจได้กลายเป็นจุดเปลี่ยน แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ซีโนบริตต้องพบกับปัญหายิ่งขึ้น ไชยา ริชาร์ด โฮลท์ ทายาทรุ่นที่ 3 ต้องระเห็จออกจากบริษัท ซีโนบริตกลับตกอยู่ในเงื้อมมือของ "พ่อมดการเงิน" ที่ชื่อ "ธีระศักดิ์ สุวรรณยศ" แต่ธีระศักดิ์ก็ล้มเหลวที่จะนำซีโนบริตเข้าตลาดหลักทรัพย์ ความล้มเหลวไม่ใช่เพียงแค่เรื่องขาดทุนและหาทางแต่งตัวเลข ทำงบการเงินให้สวยหรูเท่านั้น แต่ซีโนบริตล้มเหลวเรื่องการบริหารอย่างสิ้นเชิง ซีโนบริตกลับกลายเป็นบริษัทที่ใครต่อใครมองว่าเป็นบริษัทเล็ก ๆ แต่กลายเป็นบริษัทเล็กที่ปราบพ่อมดระดับเซียนไปแล้ว

คำที่ว่า สร้างธุรกิจนั้นว่ายากแล้ว คงไม่ยากเท่ากับการรักษาไว้ คงเทียบได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซีโนบริตในเวลานี้

แต่อะไรคือปัญหาแท้จริงที่เกิดขึ้นกับซีโนบริต เลือกพันธมิตรผิด-บริหารธุรกิจผิดพลาด-เจ้าของไม่มีฝีมือ

หากเซอร์เจมส์ ริชาร์ด โฮลท์ยังมีชีวิตอยู่และรู้ว่าวันนี้ซีโนบริตที่สร้างมากับมือ ตกทอดมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 ต้องกลายสภาพมาเป็นบริษัทไร้หางเสือ ไม่ใช่ของตระกูลโฮลท์อีกต่อไปคงปวดใจไม่น้อย

แม้จะไม่ใช่เรื่องยากที่เซอร์เจมส์ ริชาร์ด โฮลท์ จะสร้างซีโนบริตขึ้นมา แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เซอร์เจมส์จะทำให้ซีโนบริตเติบโตมาจนเป็นเทรดดิ้งเฟิร์มขนาดกลางรายหนึ่งของไทย

เจมส์ ริชาร์ด โฮลท์ อดีตวิศวกรชาวอังกฤษข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำงานในไทยเมื่อ 60 ปีที่แล้ว มาใช้ชีวิตเป็นวิศวกรประจำอู่ต่อเรือกรุงเทพฯ หรือ BANGOKO DOCK จนก้าวเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทรถไฟแม่กลอง ประเทศไทย

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เซอร์เจมส์ต้องตกเป็นเชลยศึก จากจุดนี้เองทำให้เซอร์เจมส์ได้มีโอกาสพบกับบ็อบบี้ แมคมิลั่น เศรษฐีชาวอังกฤษ เจ้าของบริษัทซีโนบริติช ที่มีธุรกิจอยู่ในย่านเอเซียและถูกจับเป็นเชลยศึกค่ายเดียวกัน

หลังจากสงครามเลิกเจมส์และบ๊อบบี้ซึ่งกลายเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานร่วมกันก่อตั้งบริษัทซีโนบริติช (สยาม) ขึ้นในปี 2489 ทำธุรกิจซื้อมาขายไป ส่งสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา ดีบุก ไม้สักไปขายที่อังกฤษและญี่ปุ่นจนถึงสินค้าเครื่องมือด้านวิศวกรรม เช่น เครื่องยนต์ ปั๊มน้ำ ยางรถยนต์

ถัดมาไม่กี่ปีเมื่อบ๊อบบี้ถึงแก่กรรม เจมส์ขอซื้อหุ้นในส่วนของบ๊อบบี้จากทายาท และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ซีโนบริติชตัดคำว่า สยามออก

ด้วยวิสัยพ่อค้า จำต้องหาสินค้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมตลอดเวลาและผลพวงที่เคยเป็นทหารเก่ายศพันโทของกองทัพอังกฤษ ทำให้การติดต่อค้าขายกับราชการจึงไม่ใช่เรื่องยาก เจมส์ก็เริ่มหันมาค้าขายเครื่องจักรกับหน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการขายหัวรถจักรให้กับการรถไฟ รวมทั้งเริ่มค้ายุทโธปกรณ์ เช่น เครื่องรับส่งวิทยุสนามให้กับกองทัพบก

เมื่อเกิดสงครามอินโดจีนหลายประเทศรวมทั้งไทยตื่นตัวในเรื่องอาวุธมาใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่ง เจมส์จึงหันมาจับธุรกิจค้าอาวุธเต็มตัว โดยจัดตั้งเป็นแผนกยุทโธปกรณ์ขึ้นมาเพื่อรองรับ และจากจุดนี้เองที่ทำให้ซีโนบริตขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ชื่อของซีโนบริตในเวลานั้น แม้จะไม่แพร่หลายสำหรับคนทั่วไป เช่นเทรดดิ้งเฟิร์มอื่นๆ แต่ก็เป็นที่รู้จักดีในหมู่ผู้ใหญ่ในกองทัพ และหน่วยงานราชการในยุคก่อนไม่ยิ่งหย่อนกับนักค้าอาวุธในยุคเดียวกัน

ตัวเจมส์เอง ด้วยเหตุที่ค้าขายนำเข้าสินค้าจากอังกฤษมานาน จนได้รับพระราชทานยศจากราชินีอังกฤษให้เป็นท่านเซอร์

เมื่อระบบสื่อสารเข้ามามีบทบาทเซอร์เจมส์ขยับขยายจัดตั้งแผนกสื่อสารโทรคมนาคมขึ้นมาอีก เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารให้กับกองทัพ รวมทั้งขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยวอันเป็นผลพวงมาจากการเป็นนักการค้าระหว่างประเทศ

แม้ว่ากิจการซีโนบริตจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเหตุที่สร้างธุรกิจมากับมือ ทำให้เซอร์เจมส์พอใจที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

"หากมีโอกาสเซอร์เจมส์จะทำทุกอย่างไม่ว่ารับแฟ็กส์หรือพิมพ์เอกสาร" พนักงานเก่าแก่ของบริษัทย้อนถึงอดีต

แต่ด้วยวัยที่มากขึ้น ประกอบกับกิจการทั้ง 4 สาย คือ วิศวกรรม ยุทโธปกรณ์ สื่อสารโทรคมนาคม และการท่องเที่ยวขยายเกินกำลังที่ได้รับ เซอร์เจมส์เริ่มมองหาผู้สืบทอดกิจการ

เมื่อพรไชย เจติยภาคย์ทายาทเพียงคนเดียว จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษเซอร์เจมส์ก็เริ่มถ่ายทอดธุรกิจสู่ทายาทผู้สืบทอดกิจการ

พรไชย ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเซอร์เจมส์เป็นลูกติดของภรรยาชาวไทย แต่ด้วยเหตุที่เซอร์เจมส์ไม่มีลูก และเลี้ยงพรไชยมาตั้งแต่เด็ก จึงตั้งความหวังให้เป็นผู้สืบทอดกิจการ

แต่เซอร์เจมส์ ไม่ได้วางมือปล่อยกิจการให้พรไชยเลยทีเดียว ต้องใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือหลายปีทีเดียวกว่าเซอร์เจมส์จึงจะแน่ใจปล่อยให้พรไชยขึ้นนั่งบริหารงานแทน ซึ่งเซอร์เจมส์จะคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

พรไชยไม่ได้ทำให้เซอร์เจมส์ผิดหวัง ทุ่มเทให้กับซีโนบริตเต็มที่สามารถสานต่อกิจการที่เซอร์เจมส์วางไว้ได้อย่างไม่มีปัญหา

ในช่วงนั้นเองพรไชย มีแนวคิดนำซีโนบริตรุกเข้าสู่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ เนื่องจากกองทัพมีนโยบายที่จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ พรไชยจึงตัดสินใจขยายเข้าสู่ธุรกิจนี้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง

ตัวพรชัยเองแม้จะเก่งกาจในเรื่องค้าขาย แต่ด้วยความที่ธุรกิจคอมพิวเตอร์เป็นธุรกิจใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และพรไชยก็มีธุรกิจเดิมทั้ง 4 สายล้นมืออยู่แล้ว จึงติดต่อให้ไซมอน เจมส์ จอยส์ ผู้บริหารสำนักงานสาขาของทรอน อีเอ็มไอ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในราชการทหารมาช่วยธุรกิจทางด้านนี้

บางกระแสก็ว่าเป็นเพราะไซมอน เจมส์ จอยส์ เป็นผู้เสนอให้ไอเดียให้กับเซอร์เจมส์ และพรไชยซึ่งทั้งสองเห็นคล้อยตาม เพราะเป็นช่วงที่ธุรกิจคอมพิวเตอร์กำลังเข้ามามีบทบาทในไทยพอดี

ธุรกิจคอมพิวเตอร์ของซีโนบริตไม่ได้ทำในลักษณะซื้อมาขายไป แต่อยู่ในรูปแบบของซิสเต็มอินทริเกชั่น หรือ เอสไอ ซึ่งเป็นการขายเป็นระบบตั้งแต่การจัดหาฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์บริการ ตลอดจนการพัฒนา หรือปรับแต่งให้เหมาะสมกับลูกค้า ซีโนบริต ได้จัดตั้งแผนกใหม่ เรียกว่า ซีโนบริต อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็ม หรือ SIS ขึ้นมา เพื่อรองรับกับธุรกิจนี้โดยตรง และให้ไซมอนเป็นคนคุม

หลังจากพิสูจน์ฝีมือหลายปี เซอร์เจมส์จึงตัดสินใจขึ้นนั่งเป็นประธานบริษัท ปล่อยให้พรไชยนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการรับผิดชอบการบริหารซีโนบริตเต็มตัว

ในยุคของพรไชย จัดอยู่ในช่วงเฟื่องฟูของซีโนบริตไม่แพ้ยุคของเซอร์เจมส์ พรไชยสร้างผลงานความเป็นนักขายไว้หลายโครงการ อาทิ หัวรถจักรความเร็วสูง หรือสปริ๊นเตอร์ ให้กับการรถไฟ เครื่องมือวิทยุสื่อสารให้กองทัพ เป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบินของนอร์ธเวสต์ และเลาด้าแอร์และขายคอมพิวเตอร์ให้การรถไฟ

"พรไชยสามารถสืบทอดกิจการต่อจากเซอร์เจมส์ได้ไม่ติดขัด เป็นเซลส์แมนเต็มตัวขายได้ทุกอย่าง" แหล่งข่าวในซีโนบริตเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

พรไชยบริหารซิโนบริตจนอายุประมาณ 50 ก็เริ่มป่วยเป็นโรคหัวใจ เนื่องจากในสมัยหนุ่ม ๆ ต้องตรากตรำกับธุรกิจ และจัดเป็นนักเที่ยวตัวยง

หลังจากไชยา ริชาร์ด โฮลท์ ลูกชายคนโตของพรชัย ที่เกิดจากภรรยาชาวอังกฤษ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอ๊อกซฟอร์ดโปลีเทคนิค ประเทศอังกฤษและเริ่มงานที่โฟรโมสต์ได้ 6 เดือน ก็ถูกเรียกกลับมาทำงานให้กับกิจการของครอบครัว

เซอร์เจมส์นั้นแม้จะมีทายาทสืบทอดธุรกิจ แต่ไม่มีทายาทสืบสกุล จึงขอไชยาซึ่งมีสถานะเป็นหลานปู่มาเป็นบุตรบุญธรรมและขอให้ใช้นามสกุล ริชาร์ด โฮลท์ ชื่อสกุลของไชยาจึงกลายเป็น ริชาร์ด โฮลท์ แทนที่จะเป็นเจติยภาคย์ตามผู้เป็นพ่อ

ไชยาเรียนรู้สายธุรกิจขายตั๋วเครื่องบินไม่นาน ภายหลังจากเซอร์เจมส์เสียชีวิตลงในปี 2533 ก็ขึ้นมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทนพรไชย ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจึงต้องวางมือไปก็นั่งเป็นประธานบริษัท

พรไชยบินไปผ่าตัดโรคหัวใจที่สหรัฐทิ้งงานทั้งหมดไว้ให้กับลูกชายสานงานต่อ และเมื่อกลับจากรักษาตัวพรไชยก็หันไปเอาดีกับธุรกิจสนามกอล์ฟ ที่พรชัยซื้อที่ดินเอาไว้พันกว่าไร่แถวสระบุรี เมื่อสิบปีที่แล้ว (อ่านล้อมกรอบ) ส่วนงานที่ซีโนบริต พรไชยก็เพียงแต่ดูแลอยู่ห่าง ๆ หรือในกรณีที่มาประชุมบอร์ด

ชิโนบริตภายใต้บังเหียนของไชยา ได้กลายเป็นยุคที่ซีโนบริตก้าวสู่ธุรกิจคอมพิวเตอร์อย่างเต็มตัว และถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของซีโนบริต

ไชยาเชื่อว่าธุรกิจอินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยีกำลังเข้ามาแรง และที่ผ่านมาซีโนบริตก็เคยฝากผลงานขายเครื่องให้กับหน่วยงานใหญ่ ๆ มาหลายโครงการ เช่น การบินไทย กองทัพบก กองทัพอากาศ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะขยายธุรกิจทางด้านนี้ในขณะที่ธุรกิจค้าอาวุธ ซึ่งเคยทำรายได้หลักมากกว่า 80% กำลังเริ่มลดบทบาทลงไปตามยุคสมัย

ในขณะที่บางกระแสก็ว่า เป็นเพราะธุรกิจค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์นั้น จำเป็นต้องลงไปคลุกคลีสร้างสายสัมพันธ์กับทหารโดยส่วนตัวของไชยาซึ่งใช้ชีวิตในต่างประเทศมาตั้งแต่เด็กไม่ถนัดกับการทำธุรกิจในลักษณะนี้ มอบหมายให้กับผู้บริหารเก่าแก่ของบริษัทดูแลธุรกิจทางด้านนี้ไป

ไชยา อาศัยไซมอนเป็นมือขวาคอยให้คำปรึกษาในธุรกิจนี้ ลงมือผลักดันแผนกซีโนบริต อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็ม หรือ SIS เต็มที่ มีการติดต่อนำคอมพิวเตอร์หลายยี่ห้อเข้ามาจำหน่าย เช่น แอมดาห์ล, ฮิวเลตต์แพคการ์ด และซอฟท์แวร์ทางต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

เป้าหมายของไชยา คือการประมูลโครงการขนาดใหญ่ ในรูปแบบของซิสเต็มส์อินทริเกชั่น ตามแนวทางที่ไซมอนเคยวางไว้ตั้งแต่ในยุคนั้น

และไม่ผิดหวังในการประมูลจัดซื้อระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลลูกค้าหรือระบบ ซีซีเอสเอส ให้กับโครงการโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมายของเทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น หรือทีเอ มูลค่า 300-500 ล้านบาท ซิโนบริตเป็นม้ามืดคว้าโครงการไปครอง

ว่ากันว่า เป็นเพราะสายสัมพันธ์อันยาวนานของพรชัย ที่ค้าขายกับกองทัพมานาน และซีพีผูกสัมพันธ์กับบรรดาบิ๊กทหารเหล่านี้อยู่ หากสังเกตให้ดีในช่วงที่ทีเอเปิดประมูลโครงการ CCSS เป็นในยุคที่ รสช. ครองอำนาจพอดี

จากผลงานชิ้นโบว์แดงในครั้งนั้นเองยิ่งทำให้ไชยาย่ามใจทุ่มเทไปกับธุรกิจทางด้านนี้อย่างเต็มตัว

เป้าหมายของไชยาและไซมอน คืองานประมูลโครงการขนาดใหญ่ เพราะในเวลานั้นซีโนบริตเองก็เริ่มมีชื่อเสียง และยังพอมีเงินทุนที่สะสมมาจากธุรกิจค้าอาวุธ

ไชยาและไซมอน ลงมือสร้างทีมงานอย่างเร่งด่วน จ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำแผนก SIS เพิ่มขึ้นเป็น 200 คน และเริ่มประชาสัมพันธ์บริษัทออกสู่ภายนอกมากขึ้น

ภาพลักษณ์ของซีโนบริตในเวลานั้นดูอหังการและมุ่งมั่นยิ่งนัก

แต่ไชยาลืมคิดไปว่า งานประมูลโครงการไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยเฉพาะโครงการใหญ่ ๆ ที่ต้องอาศัย "คอนเนคชั่น" ชนิดถึงลูกถึงคน ตั้งแต่ระดับล่างไปจนระดับใหญ่ ที่สำคัญ "เงิน" ก็ต้องถึงด้วย ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วหลายโครงการที่ชนะกันด้วย "เส้นสายภายใน" เพียงอย่างเดียว

หากสังเกตให้ดีจะมีเพียงบริษัทคอมพิวเตอร์ไม่กี่แห่งที่ทำธุรกิจในลักษณะนี้เช่น กลุ่มซีดีจี ของนาถ ลิ่วเจริญ, พีซีซีของล็อกซเล่ย์, ชินวัตรคอมพิวเตอร์ ซึ่งในช่วงหลังบริษัทเหล่านี้ก็พยายามหันไปหาลูกค้าเอกชน หรือ ขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ

ดังนั้นพอทำได้ไปเพียงปีกว่าซีโนบริต ก็เริ่มออกอาการมีกระแสข่าวการถูกเทคโอเวอร์เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ

ผลที่ปรากฏขึ้น คือ ซีโนบริตขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง งบดุลของบริษัทในปี 2536 ซีโนบริตไม่มีเงินลงทุนระยะสั้นเลย ในขณะที่ปี 2535 ยังมีอยู่ถึง 1750 ล้านบาท

รวมทั้งเงินกู้จากสถาบันการเงินของซีโนบริตที่ปรากฎในงบดุลปี 2536 มีอยู่ถึง 105 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้นำอาคารและที่ดิน ในขณะที่ปี 2535 ไม่ได้มีการกู้ยืมเลย

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพการขาดเงินทุนหมุนเวียนของซีโนบริตในเวลานั้นได้เป็นอย่างดี

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ แหล่งข่าวในซีโนบริตชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงมากไม่คุ้มกับรายได้ที่ได้มา ผลก็คือการได้โครงการ CCSS เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายแล้ว ปรากฏว่าซีโนบริตไม่เหลือกำไร

"เฉพาะแค่เงินเดือน ปาเข้าไปเดือนละสิบกว่าล้านแล้วปีละ 200 ล้าน เท่ากับว่าโครงการ CCSS ไม่มีกำไรเหลือเลย" แหล่งข่าวกล่าว

แต่สถานการณ์อาจไม่เลวร้ายลงไปอีกหากซีโนบริตยังพอมีรายได้จากโครงการอื่นมาหล่อเลี้ยง แต่เนื่องจากไชยาไปมุ่งโครงการขนาดใหญ่จนไม่สนใจโครงการระยะสั้น ซึ่งเป็นตัวทำรายได้หล่อเลี้ยงบริษัทในขณะที่โครงการขนาดใหญ่นั้นต้องอาศัยทั้งเวลา คอนเนคชั่น และต้นทุนเมื่อไม่มีรายได้ มีแต่ค่าใช้จ่าย

"บางโครงการกินเวลาถึง 1-2 ปีเมื่อไม่มีรายได้มาหล่อเลี้ยง เงินทุนสำรองได้จากธุรกิจค้าอาวุธก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปกับโครงการ ไม่ว่าจะเป็นค่าเอ็นเตอร์เทน พาไปดูงาน" แหล่งข่าวกล่าว

ในขณะที่บางกระแสก็ว่า เป็นเพราะพรไชยนำเงินของซีโนบริตไปใช้ในธุรกิจส่วนตัว คือโครงการฟอร์เรสต์ ฮิลส์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากทั้งโครงการสนามกอล์ฟ โรงแรม รีสอร์ท ที่ดิน จัดสรร จนเป็นเหตุให้ซีโนบริตเกิดเงินทุนหมุนเวียนไม่ทันที่จะใช้ภายในบริษัท

เมื่อซีโนบริตเจอภาวะวิกฤติพรไชยจึงต้องหันกลับเข้ามาในซีโนบริตอีกครั้ง

พรไชยเลือกวิธีการหาพันธมิตรเพื่อมากอบกู้ธุรกิจ เนื่องจากปัญหาสุขภาพ และธุรกิจส่วนตัวที่มีอยู่ ที่สำคัญปัญหาของซีโนบริตไม่ใช่เรื่องการบริหารเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่การตัดสินใจของพรไชยในครั้งนั้น ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของซีโนบริตยิ่งวิกฤตหนักไปอีก

พรไชย หันไปหาชาญชัย ชินเจริญคนสนิทพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์เพื่อนนักเรียนเซ็นต์คาเบรียลให้มาช่วยเหลือเพราะชาญชัยมี "คอนเนคชั่น" ในแวดวงการเมืองและไฟแนนซ์

ชาญชัยติดต่อลิขิต หงส์ลดารมภ์นักธุรกิจที่ทำธุรกิจค่อนข้างจะหลากหลายมีสายสัมพันธ์ทั้งการเมือง และธุรกิจการเงินเป็นที่ปรึกษาสถาบันการเงินกลายแห่งและธีระศักดิ์ สุวรรณยศ มือการเงินที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน และในช่วงนั้นก็กำลังลาออกจากนครหลวงเครดิตเข้ามาร่วมเป็นทีมที่ปรึกษา

2 คนที่มาเป็นที่ปรึกษานี้มีอะไรๆ คล้ายๆ กัน โดยเฉพาะบทบาทการเป็น "สะพานเชื่อม" ต่อไปยังกลุ่มทุนอื่น ๆ

ละครฉากใหญ่ของซีโนบริตกำลังเริ่มต้นที่จุดนี้ !

ลิขิตเข้ามาซื้อหุ้นในซีโนบริต แต่ไม่มากนัก และมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา

ส่วนธีระศักดิ์นั้น ตอนแรกธีระศักดิ์ไม่ได้สนใจซีโนบริตเลย แต่ด้วยความเกรงใจและมื่อลงมาศึกษา โดยให้คูเปอร์แอนด์ไรแบนด์ที่ปรึกษาทางการเงินจากต่างประเทศศึกษาดูก็มองเห็นลู่ทาง เนื่องจากในช่วงธุรกิจทางด้านไอทีในช่วงนั้นกำลังบูมมีหลายบริษัทร่ำรวยจากธุรกิจนี้ เช่น กลุ่มชินวัตรที่เพิ่มนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่นาน และชื่อของซีโนบริตขณะนั้นยังขายได้ มีโครงการใหญ่ ๆ อยู่ในมือถึงสองโครงการ

เมื่อมองเห็นลู่ทางธีระศักดิ์ จึงไปชวนไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์แห่งบ้านฉางให้เข้ามาซื้อหุ้น เพราะธีรศักดิ์นั้นนั่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินกลุ่มบ้านฉาง และสนิทสนมกับไพโรจน์เป็นอย่างดี

ไพโรจน์เองก็สนใจธุรกิจทางด้านไอทีอยู่แล้ว เคยดึงคนในวงการไอทีเข้ามาเพื่ อขยายเข้าสู่ธุรกิจนี้ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท เคเอสซีของค่ายเอแบค ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ท

หลังจากได้ผู้ถือหุ้น ธีระศักดิ์จัดการเพิ่มทุนจดทะเบียนซีโนบริตจาก 15 ล้านเป็น 100 ล้านบาท โดยไพโรจน์ถืออยู่ 35% ส่วนไชยาและครอบครัวถืออยู่ 40% ที่เหลืออีก 25% เป็นของรายย่อย

ความหวังของพรไชยในเวลานั้น คือ ต้องการหาพันธมิตรเพื่อมาช่วยฟื้นฟูธุรกิจทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ซีโนบริตผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้

ในขณะที่ความหวังของธีระศักดิ์และไพโรจน์ในเวลานั้นคือ นำซีโนบริตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อฟันกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น

หลังการเข้ามาของไพโรจน์ การบริหารงานของซีโนบริตที่เคยอยู่ในมือของไชยา ก็ถูกโอนถ่ายมาอยู่ในฝ่ายของไพโรจน์ซึ่งนั่งเป็นรองประธานบริษัท ส่วนพรไชยเป็นกรรมการผู้จัดการ

ไพโรจน์นั้นไม่ได้ดูแลเองทั้งหมดแต่ก็ให้ความสนใจพอสมควร โดยมอบหมายให้มีธีระศักดิ์เป็นผู้รับผิดชอบ

ธีระศักดิ์ แม้ไม่ได้เข้ามานั่งบริหารเต็มตัว หรือมีตำแหน่งประจำที่ซีโนบริต ลักษณะของผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ที่มีบทบาทต่อความเป็นไปของซีโนบริตอย่างมากโดยเฉพาะในเรื่องการเงิน

ธีระศักดิ์ ส่งเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์จากแคปปิตอลแมเจนเม้นท์ ซึ่งช่ำชองเรื่องเทคโอเวอร์กิจการในตลาดหลักทรัพย์มาเป็นกรรมการ และช่วยเป็นที่ปรึกษาโครงการ

"เราหวังจะให้คุณเชิดศักดิ์มาช่วยหาโครงการประมูลให้ เพราะเคยอยู่ชินวัตรมาก่อน จะได้มาช่วยมาก่อน จะได้มาช่วยเรื่องสร้างคอนเนคชั่น ก็มาช่วยเรื่องลดคนลดค่าใช้จ่ายอยู่ แต่เขาช่วยซีโนบริตได้ไม่เต็มที่ เพราะคุณเชิดศักดิ์ก็มีงานอยู่หลายแห่ง" แหล่งข่าวในซีโนบริตกล่าว

หลังพลาดหวังจากเชิดศักดิ์ ธีระศักดิ์ก็นั่งดูแลอยู่พักใหญ่ จนมาได้เพื่อนคือ วิเชษฐ์ บัณฑุวงศ์ นักธุรกิจกลุ่มตึกดำ และเป็นมือบริหารการเงินให้กับยูนิคอร์ด ซึ่งเวลานี้ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องการเงิน

ขณะเดียวกันในด้านการบริการหลังจากไซมอน จอยส์มือขวาไชยายื่นใบลาออกธีระศักดิ์ได้ดึงมรกต ปุณณะกิตติมือบริหารตลาดแบงค์กิ้งจากไอบีเอ็มและทีมงานเข้ามาช่วยในเรื่องการตลาดร่วมกับไชยา

แม้ว่ามรกตจะมีผลงานขายคอมพิวเตอร์ และเอทีเอ็มให้กับธนาคารได้แต่ก็เป็นโครงการขนาดเล็ก สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มไพโรจน์ ที่ต้องการได้โครงการใหญ่ ๆ ที่สร้างรายได้ให้ในคราวเดียวกันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับปัญหาการขัดแย้งภายใน จนมรกตและทีมงานตบเท้าลาออก

จากนั้น ธีระศักดิ์ไปดึงเอาไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว ผู้บริหารดาต้าแมท อดีตเจ้าของบริษัทออกัสก์ 2525 เข้ามาแทนมรกตแต่ในที่สุดก็ต้องลาออกไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับไชยา แม้จะรั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเช่นในสมัยที่เป็นธุรกิจครอบครัว เพราะอำนาจการตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับบอร์ดบริหาร

"คุณไชยา ทำใจไม่ค่อยได้กับเรื่องนี้แต่เดิมเคยตัดสินใจได้เวลามีประชุมบอร์ดบางครั้งเมื่อเถียงกันมาก ๆ ไชยาระงับอารมณ์ไม่ได้ถึงกับตบโต๊ะและเดินออกไปเลย" แหล่งข่าวย้อนอดีต

แหล่งข่าวเล่าว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไชยา และผู้ถือหุ้นใหม่ที่มากที่สุด คือ คณะกรรมการบริหาร และทีมที่ปรึกษาต้องการเลิกจ้างผู้บริหารจากต่างชาติเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพราะในช่วงนั้นรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ไชยาไม่ยอมเพราะเป็นทีมงานที่สร้างมากับมือ และเป็นส่วนที่ไชยาเห็นว่ามีความจำเป็นในการขยายธุรกิจ

ในขณะที่ปัญหาการบริหารงานภายในของซีโนบริตยังไม่ดีขึ้น ผลการดำเนินงานก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายมีรายได้เข้าบ้างแต่เป็นงานขายของขนาดเล็กแต่ยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามา

ธีระศักดิ์ใช้วิธีการแก้ปัญหา ด้วยการเพิ่มทุนอีก 2 ครั้ง คือ จาก 100 ล้านบาทเป็น 200 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาทเพื่อหวังจะฟื้นฟูซีโนบริตอีกครั้ง

ปรากฎว่าไชยาและครอบครัวไม่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มเติม ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงจาก 40% เหลืออยู่กว่า 10% ขณะที่หุ้นของบ้านฉางเหลืออยู่ 20% และมีกลุ่มนายประกิต ประทีปปะเสน รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ อดีตเจ้านายเก่าที่ธีรศักดิ์ชักชวนให้เข้ามาถือหุ้นประมาณ 22% ที่เหลือเป็นของรายย่อย

การเข้ามาของประกิตเหมือนกับการเข้ามาถือหุ้นในบริษัทนอกตลาดอื่น ๆ เขามองบริษัทเล็ก ๆ นอกตลาดที่พอมีอนาคตเข้ามาซื้อหุ้น ซึ่งหลายครั้งจะซื้อในนามบริษัทธนสถาปนา จำกัด แต่งตัวบริษัทโนเนมนั้น ๆ เข้าตลาดหุ้น เสร็จแล้วก็ขายทิ้งทำกำไร

ชื่อ "ซีโนบริต" ในช่วงนั้นยังขายได้ประกิตมองว่า โอกาสเข้าตลาดหุ้นไม่น่าจะยากนัก เลยริบโดดเข้าอุ้มในทันที

แต่คราวนี้ไม่เป็นดังคาด !

สาเหตุที่กลุ่มบ้านฉางไม่เพิ่มทุนแหล่งข่าวกล่าวว่า เป็นเพราะในช่วงนั้นกลุ่มบ้านฉางเริ่มมีปัญหาในเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ขณะเดียวกันก็เริ่มหมดหวังกับซีโนบริตแล้ว ส่วนไชยาและพรไชย ไม่สามารถหาเงินมาใช้เพิ่มทุนได้ ธีระศักดิ์ จึงไปชวนให้กลุ่มประกิตเข้ามา

หลังจากเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ มีการปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ไชยานั่งเป็นประธานกลุ่มธุรกิจอินดัสเตรียลเทคโนโลยี ไตรรัตน์เป็นประธานกลุ่มธุรกิจอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี ส่วนณัฐินันท์ วงศ์วรรณ ลูกชายพ่อเลี้ยงณรงค์วงศ์วรรณ จากไอบีเอ็มที่กลุ่มไพโรจน์ดึงตัวเข้ามา นั่งเป็นประธานบริหารและจัดการภายในซึ่งประธานแต่ละกลุ่มจะขึ้นตรงต่อประธานกรรมการของบริษัท

เท่ากับว่า นับจากนี้อำนาจการบริหารทั้งหมดที่อยู่ในมือไชยาจะไปขึ้นตรงกับคณะกรรมการของบริษัท และทีมที่ปรึกษา

แต่ผลจากการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของซีโนบริตย่ำแย่ลงไปอีก ขาดความเด่นชัดในการบริหารงานนโยบายเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ผู้บริหารไม่มีอำนาจตัดสินใจ

"ลูกค้าใหม่ ๆ แทบไม่มีเข้ามา รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากลูกค้าเก่าที่ซื้อเครื่องเพิ่มเติม พอมีปัญหา เขาจะใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนโครงสร้าง เปลี่ยนผู้บริหารจนบริษัทไม่มีทิศทางที่แน่นอน"

ความไม่แน่นอนของซีโนบริตนั้น แหล่งข่าวในซีโนบริตวิเคราะห์ว่ามาจากเหตุผล 2 ประการคือ

หนึ่ง - ความเชื่อมั่นของไชยาในการที่จะดำเนินธุรกิจไปตามแบบแผนเดิมของตนเองต่อไป และฝากความหวังกับทีมงานชาวต่างชาติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะไซมอน

ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหม่ที่ส่งทีมบริหารเข้ามาต้องการปรับทิศทางการบริหาร และลดค่าใช้จ่ายลง ลดพนักงาน โดยเฉพาะค่าจ้างพนักงานต่างประเทศซึ่งเป็นเงินสูงมาก

ไซมอนและพรรคพวกจึงเป็นเป้าที่ผู้ถือหุ้นใหม่ต้องการให้ออกมากที่สุด ขณะที่ไชยาก็ถือว่ากลุ่มนี้เป็นขุมกำลังสำคัญของเขา

ในที่สุด ไชยาต้องเป็นฝ่ายถอย ไซมอนลาออกในที่สุด

ความขัดแย้งระหว่างไชยากับผู้ถือหุ้นใหม่เป็นปมที่ยืดเยื้ออยู่เป็นเวลานาน และเป็นบาดแผลเรื้อรังสำหรับซีโนบริต โอกาสที่ซีโนบริตจะฟื้นขึ้นมาหลังจากที่อัดฉีดเงินเข้าไปจึงทำได้ลำบาก

สอง - อย่างไรก็จาม ความผิดพลาดของซีโนบริตก็ไม่ได้มาจากตัวไชยาเสียทีเดียว ปัญหาสำคัญที่แท้จริงอาจจะมาจากตัวผู้ถือหุ้นใหม่ทั้งหมดก็ได้

น่าตลกมากที่ซีโนบริตมีผู้ถือหุ้นและผู้บริหารชื่อดังมากมาย ทุกคนล้วนมีชื่อเสียงทั้งในวงการเมือง การเงิน วงการไอที

แต่ทุกคนมาจบเห่ที่ซีโนบริตกันหมด

ว่ากันว่า ผู้ที่เข้ามาในซีโนบริตล้วนจะรีบเข้ามากอบโกยชื่อเสียง ในอดีตของซีโนบริต เชื่อฝีมือ "พ่อมดการเงิน" ที่ร่ายเวทคาถาอาคมเพื่อที่จะนำซีโนบริตเข้าตลาดหุ้นเร็ว ๆ เพื่อขายหุ้นทิ้ง ฟันเอากำไร

ทุกคนมองว่า เรื่องซีโนบริตเป็นเรื่องเล็ก ๆ ปะหน้าทาแป้งเสียหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร

ทุกคนลืมไปว่า พ่อมดการเงินเก่งแต่เรื่องจับแพะชนแกะ แต่งตัวเลขสวย ๆ สร้างภาพพจน์ดี ๆ

แต่การบริหารอาจตรงกันข้ามกับฝีมือการทำตัวเลข !

เผอิญซีโนบริตต้องการทั้งเงินอัดฉีดและฝีมือการบริหารที่เยี่ยมยอดจริง ๆ ก่อนที่จะผ่านพ้นวิกฤตไปได้และข้าตลาดหุ้นอย่างสง่าผ่าเผย

เมื่อสถานการณ์ย่ำแย่ลง แหล่งข่าวกล่าวว่า ช่วงกลางปีที่แล้วไชยาและพรไชยบอกขายหุ้นทั้งหมดให้กับกลุ่มไพโรจน์ ซึ่งเชื่อกันว่าพ่อลูกคู่นี้คงเบื่อหน่ายเต็มทีกับเรื่องที่เกิดขึ้นและคิดว่าคงไม่มีโอกาสกลับมากุมอำนาจในซีโนบริตได้อีกแล้ว

ทางกลุ่มไพโรจน์เสนอราคาซื้อไปที่ราคาหุ้นละ 25 บาท แต่แล้วเหตุการณ์เกือบกลับตาลปัตร เมื่อไชยาเห็นว่าราคาหุ้นเท่านี้เขาน่าจะซื้อคืนมาได้ จึงเสนอซื้อกลับในราคาเท่านี้

แต่จนแล้วจนรอด ไชยาก็หาเงินมาไม่ได้ และในที่สุดไชยาก็ต้องยอมจำนนขายหุ้นทั้งหมดให้กับไพโรจน์ และขอลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารซีโนบริตเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

เป็นอันสิ้นสุดยุคของตระกูลโฮลท์ อย่างแท้จริง และทุกวันนี้ตัวไชยาก็หายไปจากสังคม เก็บตัวเงียบ

ต่อจากนั้นไม่นานไตรรัตน์ ฉัตรแก้วก็ลาออก มีเพียงณัฐินันท์ วงศ์วรรณ ที่ต้องรักษาการตำแหน่งแทน

สภาพของซีโนบริตในเวลานี้ เปรียบแล้วไม่แตกต่างไปจากเรือที่ไร้หางเสือ ไม่มีผู้บริหารหลัก

แหล่งข่าวเล่าว่า ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว ถึงปลายปีที่แล้ว ซีโนบริตแทบไม่มีรายได้เลย ธุรกิจซบเซาอย่างมาก โอกาสเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องพูดถึง

ธีระศักดิ์ และไพโรจน์ก็เริ่มถอยห่างออกไป

ธีระศักดิ์นั้น ในระยะหลัง ๆ ก็เริ่มถอนตัวออกไป แต่ก็ยังมีบทบาทอยู่ ปัจจุบัน ธีระศักดิ์ มีธุรกิจส่วนตัว คือบริษัท ดี.เอส. พลูแดนเชียส ทำธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบ้านฉาง และมีกระแสข่าวว่ากำลังไปรับงานใหญ่ในสถาบันการเงินแห่งใหม่

ในขณะที่ไพโรจน์ก็กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และโอกาสที่จะเป็นกำลังพยุงคนอื่นขึ้นมาได้ก็ลำบากเต็มที เพราะลำพังตัวเองก็แทบแย่แล้ว

ไพโรจน์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าซื้อหุ้นซีโนบริตเพียงเพราะต้องการช่วยเพื่อน คือ พรไชย ซึ่งรู้จักกันมานานหลายสิบปีแล้ว และก็ยังยืนยันที่จะช่วยเหลือต่อ แต่ส่วนตัวแล้วไม่คิดจะหันมาจับธุรกิจทางด้านนี้ เพราะกำไรน้อย

สำหรับพรไชยเอง เนื่องจากมีธุรกิจส่วนตัว และซีโนบริตไม่ใช่ของตระกูลโฮลท์หรือ เจติยภาคย์อีกต่อไป ทำได้ดีที่สุดคือรอเวลาและความหวัง

หลังจากที่แทบจะไม่มีใครเอาซีโนบริตแล้ว "ผู้จัดการ" พยายามหาว่าใครเป็นผู้บริหารที่แท้จริงของซีโนบริต กลับเป็นเรื่องตลกมากที่หาใครแทบไม่เจอ เวลานี้ซีโนบริตเดินไปได้ด้วยกำลังของพนักงานเพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่า ลิขิต หงส์ลดารมภ์มานั่งที่ซีโนบริตบ่อยผิดปกติ

ลิขิตเป็นลูกชายของสุนทร หงส์ลดารมภ์ เป็นพี่น้องกับทองฉัตรกับ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ เคยเป็นเขยคนโตของตระกูลพรประภาในอดีต ว่ากันว่าลิขิตชอบทำงานอยู่เบื้องหลัง และทำงานไม่เป็นที่ชัดเจน เป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับหลายกลุ่มมีบริษัทหงสาเป็นของตนเอง ทำสิ่งพิมพ์หมดเงินไปกับหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น มาตุภูมิ ก่อนที่จะขายให้กับคนอื่น เคยทำงานการเมือง เป็นผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย

แต่ใครบางคนระบุว่า เขาเป็นคน "ระดมทุน" เก่ง คือหาโครงการ หาบริษัทแล้วก็หาเงินอัดฉีดเข้าไป โดยตัวเองเป็นเพียง "ตัวกลาง" เท่านั้น แต่ไม่เหมาะที่จะนั่งโต๊ะทำงานประจำวันสักเท่าใด

ในช่วงที่ลิขิตมานั่งทำงานที่ซีโนบริตบ่อยมากขึ้นนี้ โดยไม่มีตำแหน่งหน้าที่ที่ชัดเจน ผู้ถือหุ้นซีโนบริตเฉือดเนื้อบริษัทออกเป็นส่วน ๆ เพื่อขายทิ้งหาเงินมาใช้หนี้

เริ่มจากลดภาระค่าใช้จ่ายก่อน ด้วยการปลดผู้บริหารต่างประเทศ ที่ไชยารับเข้ามาในช่วงเริ่มต้นบริษัท จาก 22 คนเหลืออยู่เพียง 5-6 คน และต้องหันมาเน้นโครงการคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก

เสนอขายอาคารซีโนบริต บนถนนวิภาวดีรังสิต มูลค่า 180 ล้านบาทและให้ซีโนบริตกลับมาเป็นผู้เช่าเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

แต่ยังไม่ปรากฎรายชื่อผู้ซื้อจนปัจจุบัน

ว่ากันว่าการเข้ามาของซีโนบริตของ ลิขิต ทำเหมือนตัวเขาเองเป็นผู้บริหารแต่เอาเข้าจริง ลิขิตก็ไม่ได้เป็นผู้บริหารแท้จริง นอกจากมานั่งในห้องทำงานเก่าของไชยาเท่านั้น

ระหว่างนี้ ลิขิตก็เสนอซื้อหุ้นบริษัทซีโนบริตเทเลคอม บริษัทลูกของซีโนบริต ซึ่งทำธุรกิจเป็นผู้จัดหาและบริหารโครงการด้านเครือข่ายโทรคมนาคม ซึ่งซีโนบริตถือหุ้น 40% ไชยา 15% และผู้บริหารต่างชาติ 15%

ไชยาและไซมอนจัดตั้งซีโนบริตเทเลคอมตั้งขึ้นมาในปี 2535 ภายหลังจากได้งานติดตั้งระบบ CCSS ให้กับทีเอ ก็มองเห็นช่องทางในการขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องในธุรกิจนี้ ลูกค้าของบริษัทจะเป็นบริษัทด้านโทรคมนาคม คือ ทีเอ ทีทีแอนด์ที องค์การโทรศัพท์ การสื่อสารฯ

ที่ผ่านมาซีโนบริตเทเลคอมทำยอดขายได้พอสมควร ปีละ 980-100 ล้านบาทแม้ขนาดโครงการจะไม่ใหญ่ แต่เนื่องจากธุรกิจทางด้านนี้กำลังเติบโต และบริษัทมีสินค้าหลายชนิดอยู่ในมือ คือ เอทีแอนด์ที ฮิวเลตต์-เพคการ์ด จึงมีงานเข้ามาอยู่ตลอดเวลา

ซีโนบริต เทเลคอมจึงเป็นบริษัทที่ยังพอมีอนาคตสดใสอยู่บ้างในสถานการณ์ปัจจุบันของซีโนบริต และการเข้ามานั่งในซีโนบริตของลิขิตก็มีความหมายมากพอสมควรในตัวเขา

แหล่งข่าวเล่าว่า ลิขิตทำหน้าที่เป็นตัวกลาง "แหล่งทุน" ในการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งผู้ซื้อคือ ผู้บริหารสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกบางกระแสกล่าวว่า ธีระศักดิ์เองก็เสนอขายซีโนบริตเทเลคอมให้กับบริษัทล็อกซเล่ย์ ซึ่งยังไม่เป็นที่ตกลง

คาดว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นครั้งนี้ประมาณ 30 ล้านบาท

นอกจากนี้ ซีโนบริตยังอาจจะขายหุ้นในบริษัทคอมเมอร์เชียล ยูเนียนทำธุรกิจประกันภัยของแบงก์ทหารไทย ซึ่งซีโนบริตมีหุ้นอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง

เงินที่ได้จากการขายตึกและเฉือนหุ้นในบริษัทลูก แหล่งข่าวกล่าวว่า เพื่อต้องการนำเงินมาชำระหนี้เงินกู้ และดอกเบี้ยที่มีอยู่ประมาณ 200 กว่าล้านบาท

แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่า ในที่สุดลิขิตก็ไม่ใช่ผู้บริหารที่แท้จริง หรือแม้จะมีตำแหน่งเป็นทางการในอนาคตก็เป็นไปได้ยาก

แหล่งข่าวกล่าวว่า ผู้ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้คือ ไพโรจน์ ซึ่งไพโรจน์ก็มักจะพูดกับคนใกล้ชิดเพียงว่า "ก็แล้วแต่อี๊ดเค้า"

"อี๊ด" ในที่นี้คือธีระศักดิ์ ซึ่งแน่นอนที่ธีระศักดิ์ไม่สนใจลิขิตมากนัก เพียงแต่ในช่วงนี้เป็นช่วงซื้อเวลาสำหรับเขา

แม้แต่ธีระศักดิ์จะเบื่อหน่ายกับซีโนบริตเต็มที เพราะแผนทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ การบริหารที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย อีกทั้งตัวเขาเองก็กำลังมี "ของเล่น" ใหม่หลังจากที่ออกจากไอทีเอฟ

แต่ธีระศักดิ์ต้องรับซีโนบริตไว้ในอกอย่างไม่มีทางเลี่ยง เพราะเป็นผู้ที่ดึงกลุ่มทุนหลายกลุ่มมาละลายเงินเล่นในซีโนบริต ทั้งกลุ่มไพโรจน์และกลุ่มประกิต ประทีปเสน

เขาจำเป็นต้องให้เห็นภาพความเคลื่อนไหวในทางที่ดีแก่ซีโนบริตตลอดเวลาอย่างน้อยก็ทำให้ผู้ถือหุ้นเชื่อว่า เขากำลังพยายามพลิกฟื้นซีโนบริตอย่างเอาจริงเอาจัง

ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า เขากำลังพยายามหาทางขายซีโนบริตออกไปให้เร็วที่สุด และมีการเจรจาในหลายที่ แต่ไม่สำเร็จ

ล่าสุดมีชื่อของ "ศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์" ปรากฏขึ้นมาอีก กระแสข่าวกล่าวว่า ธีระศักดิ์ได้ไปทาบทามศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ อดีตผู้บริหารของกลุ่มชินวัตร ที่ออกมาทำธุรกิจค้าคอมพิวเตอร์ของตนเองภายใต้ชื่อบริษัทเอไอที ให้เข้ามานั่งบริหารงานและอาจเข้ามาถือหุ้นบางส่วนด้วย

ศิริพงษ์ เคยร่วมงานกับชินวัตรมาตั้งแต่ในยุคแรก ๆ เคยเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทชินวัตรเพจจิ้ง ให้บริการวิทยุติดตามตัวโฟนลิงค์ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว

ศิริพงษ์ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่ามีการทาบทามจริง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเงื่อนไขของศิริพงษ์ คือ จะต้องมีอำนาจบริหารและอำนาจในการตัดสินใจที่แน่ชัดไม่ได้เป็นแค่มือปืนรับจ้าง

"ผมต้องเป็นซีอีโอ เพื่อให้มีอำนาจตัดสินใจ เพราะคนที่แล้วมาเขาทำได้ แต่เขาไม่มีอำนาจที่แท้จริง" ศิริพงษ์เล่า

ในสายตาของศิริพงษ์แล้ว ปัญหาของซีโนบริต เกิดจากการมีผู้ถือหุ้นหลายฝ่าย ทำให้มีปัญหาในการตัดสินใจ ไม่รู้ว่าอำนาจที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ไม่เด่นชัดซึ่งเป็นปัญหามากในการบริหารธุรกิจ

ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นโครงการขนาดใหญ่มากเกินไป จนทิ้งโครงการเล็ก ซึ่งเป็นส่วนที่ทำรายได้หมุนเวียน

ศิริพงษ์มองว่า ซีโนบริตยังมีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้อีก เพราะมีความพร้อมในด้านสินค้า และตัวบริษัทอยู่แล้ว ซึ่งทำได้ทั้งการหันมามองโครงการขนาดเล็ก รวมทั้งฟื้นธุรกิจเทรดดิ้งที่เคยทำในอดีต

การเข้ามาของศิริพงษ์ หรือแผนเยียวยาต่าง ๆ ที่ทำอยู่ในเวลานี้จะช่วยชีวิตให้กับซีโนบริตได้หรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ

ไป ๆ มา ๆ อนาคตของซีโนบริต ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของธีระศักดิ์

ความหวังของธีระศักดิ์ในเวลานี้ ก็อาจเหลืออยู่เพียงแค่ขอให้ขายหุ้นได้แค่นั้นก็พอ

และพ่อมดการเงินบางคนก็ต้องมีบทเรียนที่เจ็บปวดกับบริษัทที่ใครต่อใครบอกว่าเป็นบริษัท
เล็ก ๆ ไม่มีความหมายอะไร

แต่ที่แน่ ๆ ซีโนบริตในเวลานี้ ไม่ใช่ซีโนบริต เมื่อ 50 ปีที่แล้วอีกต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us