|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการ บริษัท พลอต แอนด์ แพลน จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดเครื่องสำอางค์มีการแข่งขันที่รุนแรงมากทั้งแบรนด์ที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศที่ขยายตลาดมายังไทย แต่อย่างไรก็ตามเครื่องสำอางผลิตจากสมุนไพรยังมีโอกาสการเติบโตอีกมากแต่ยอมรับว่าในระยะที่ผ่านมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามนั้น ทำให้ยอดขายในกลุ่มเครื่องสำอางชะงักลงไปด้วย
และในปี 2549 นี้จึงได้รับกลยุทธ์ส่งเสริมยอดขาย เพื่อกระตุ้นการสร้างรายได้แก่แฟรนไชซีและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ล่าสุดได้เพิ่มไลน์สินค้าภายใต้แบรนด์ "โอมายกอส" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการป้องกัน ฟื้นฟูและบำรุง ขยายฐานลูกค้าสู่นักธุรกิจวันทำงาน ด้วยสีสันสดใสสีส้ม ที่ให้พลังกายใจและเริ่มต้นวันด้วยความสดใส ซึ่งมีส่วนประกอบด้วยสมุนไพร เช่น ไข่แดง ขิง มะละกอ ทองคำและชะเอม
"ผลิตภัณฑ์โอมายกอสนี้ ต้องการขยายฐานลูกค้าสู่นักธุรกิจ คนวัยทำงานมากขึ้น หลังจากก่อนนี้นี้ได้อกแบรนด์เบลล่า เบลล่าไปแล้วเพื่อจับตลาดล่าง เรามองว่าตลาดเครื่องสำอางโดยเฉพาะสมุนไพรไทยยังมีศักยภาพและการเติบโต เพียงแต่จะทำสินค้าเสนอกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างไร"
สินค้าภายใต้แบรนด์โอมายกอส ประกอบด้วย 1.Oh My God Soap 2.Oh My God Cream 3.Oh My God Boxiline 4.Oh My God Hair Tonic และ 5.Oh My God Montra Spray Mist คาดยอดขายในปี 2549 ไม่ต่ำกว่า 100-120 ล้านบาท ส่งผลต่อยอดขายรวมทั้งปี ที่ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นอีก 20% จาก 600 ล้านบาทในปีที่ผ่าน
วิภารดี กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ได้จัดทีมขายขึ้น 6 ทีม ทำตลาดทั่วประเทศเพื่อเจาะถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงที่ ตัวแทนจำหน่ายเจาะไม่ถึงเพื่อสนับสนุนฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นตั้งเป้าระยะเวลาทีมละ 1 เดือนในแต่ละพื้นที่ได้ลูกค้าไม่ต่ำกว่า 800-1,000 ราย บุกสาธิตการใช้สินค้าถึงบ้านคาดจะได้ฐานลูกค้ารวมทั้ง 6 ทีมไม่ต่ำกว่า 5,000ราย และหวังกลยุทธ์การบอกต่อ 1 รายเพิ่มขึ้นอีก 1 รายเป็น 10,000 ราย
"ที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายยังมีช่องว่างที่เข้าไม่ถึงในบางพื้นที่ บริษัทแม่สนับสนุนการขยายฐานลูกค้าช่วยแฟรนไชซีและตัวแทนจำหน่ายเพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มคนวัยทำงานหรือกลุ่มลูก้าระดับกลางขึ้นมา ซึ่งจุดที่ทีมขายจะไปเจาะตลาดนี้โอกาสความสำเร็จมีสูงเพราะจะเน้นการสร้างตลาดใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่ง"
นอกจากนี้ในปี 2549 ได้เริ่มปรับลดขนาดผลิตภัณฑ์ลง เพื่อสอดรับกับกำลังซื้อลูกค้าที่ลดลงให้สามารถจับจ่ายซื้อสินค้าได้ตามปกติ ด้วยขนาดและราคาที่ลดลงกว่า 50% โดยจะเน้นกลุ่มสินค้าขายดีและได้รับความนิยม เช่น ครีมมะขามป้อม และกระตุ้นการสร้างยอดขายในกลุ่มสินค้าระดับล่างภายใต้แบรนด์เบลล่า เบลล่าเพิ่มขึ้น
โดยในปีนี้ จะใช้งบการตลาดเพื่อส่งเสริมยอดขายของสินค้าบริษัทกว่า 30 ล้านบาท โดยในระยะ 3 จากนี้จะใช้งบสูงถึง 9 ล้านบาท กระตุ้นกำลังซื้อตั้งแต่ช่วงต้นปีและโปรโมทผลิตไม่โอมายกอสที่จับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง นักธุรกิจ คนทำงานให้รับรู้ในวงกว้างผ่านสื่อทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์
วิภารดี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแฟรนไชซีปัจจุบันมีจำนวน 33 รายและตัวแทนจำหน่ายที่ซื้อสินค้าผ่านแฟรนไชซีอีกกว่า 400 ราย ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนแฟรนไชซีในปี 2549 อีกจำนวน 12 แห่ง ยังคงค่าแฟรนไชส์ฟี ที่ 120,000 บาท สัญญา 4 ปี จัดอบรมสมาชิกต่อเนื่อง
"ปัจจุบันรายได้แฟรนไชซีมาจากการจำหน่ายสินค้า 70% และบริการ 30% ในแต่ละปีบริษัท ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายของสินค้าและขยายฐานลูกค้า ซึ่งรายได้ที่แฟรนไชซีได้รับจากการจำหน่ายสินค้าด้วยส่วนลดถึง 50% เครดิต 1 เดือนส่วนตัวแทนจำหน่ายลดลงก็ลดลงมา
ที่ผ่านเราค่อนข้างพิจารณาแฟรนไชซีเพราะนอกจากขายสินค้าแล้วต้องดุแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นแตกละรายที่จะเป็นแฟรนไชซีต้องพิจารณาหลายอย่าง รวมถึงความจริงใจในการทำธุรกิจต้องเป็นตัวแทนจำหน่ายมาก่อน สำหรับรายใหม่ต้องพิจารณายอดขายก่อนเซ็นสัญญาแฟรนไชส์"
|
|
|
|
|