|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตามแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนไทยนั้นต้องการเพิ่มมูลค่าตลาดรวมถึง 10 ล้านล้านบาท เป็นผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ต้องทำการศึกษาเพื่อหาหนทางการเพิ่มมูลค่าตลาดให้สูงถึงระดับที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งผลงานวิจัยวิเคราะห์ออกมาว่าการทำดังกล่าวนั้นจะต้องเน้นการเพิ่มค่าพีอี และปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของค่าพีอีก็อยู่ที่ผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สภาพคล่องและขนาดของบริษัทจดทะเบียน
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศได้จัดทำ SET Note ฉบับที่ 3 ประจำปี 2549 เพื่อนำเสนอผลงานศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price-Earnings -Ratio: P/E ratio) ในตลาดหลักทรัพย์ของไทยพบว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าพีอี ได้แก่ อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อค่าพีอีสูงสุดรวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ สภาพคล่องของหลักทรัพย์ ขนาดของบริษัทจดทะเบียน และความเสี่ยงของราคาหุ้น (ค่าเบต้า)ที่อาจเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับภาวะรวมของตลาด
จากการศึกษาข้อมูลบริษัทจดทะเบียนกว่า 4000 บริษัทในเชิงเศรษฐมิติ จากข้อมูลในช่วงไตรมาส 3 ปี 2548 พบว่า บริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าระดับเฉลี่ย 1.4 เท่า หรือบริษัทมีนโยบายขยายขนาดของบริษัทให้ใหญ่ขึ้น เช่นการควบรวมกิจการ ก็จะทำให้พีอีเพิ่มขึ้นจากระดับเฉลี่ยได้ ทั้งนี้หากสามารถเพิ่มขนาดของบริษัทขึ้นมากกว่า 2 เท่าของระดับเฉลี่ยก็จะสามารถเพิ่มค่าพีอีได้ 0.6 เท่า ซึ่งปัจจัยกังกล่าวเป้นนโยบายที่สามารถกำหนดได้จากนโยบายของบริษัทเอง
เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้วสภาพของหลักทรัพย์ก็เป็นปัจจัยต่อค่าพีอีเช่นกัน โดยพบว่าค่าความเสี่ยงจากราคาหลักทรัพย์ ที่เคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับภาวะตลาด และสภาพคล่องของการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทนั้น ๆ ส่งผลต่อค่าพีอีอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ หากสามารถลดความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนลง 0.01จุด หรือหากสภาพคล่องของการซื้อขายหลักทรัพย์ขึ้นอีก 20%ก็จะทำให้ค่าพีอีเพิ่มขึ้น 0.07 และ 0.25เท่า ตามลำดับ
ปัจจุบันนี้ค่าพีอีในตลาดอยู่ที่ 9 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอ่าน ๆ และเมื่อเปรียบค่าพีอีรายกลุ่มอุตสาหกรรมระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยและของประเทศเพื่อบ้านทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกงและมาเลเซียแล้วพบว่าค่าพีอีของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของตลาดทุนยังอยู่ในระดับต่ำแทบทุกกลุ่ม
โดยเฉพาะกลุ่มการเงินซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสูงในตลาดทุนต่าง ๆ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ไทย ทั้งนี้ค่าพีอีของกลุ่มการเงินในตลาดหลักทรัพย์ของไทยถือว่าต่ำสุดและมีค่าน้อยกว่าตลาดอื่น ๆ เกือบเท่าตัว
สำหรับการเพิ่มขึ้นของค่าพีอีนอกจากส่งผลโดยตรงต่อบริษัทแล้ว ยังส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์รวมตามราคาตลาด(market capitalization) ของตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้นส่งผลให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มพีอีตลาด ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทที่เพิ่มขึ้นแล้ว การเพิ่มของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ และการเพิ่มขึ้นของค่าพีอี โดยการเพิ่มค่าพีอีจะเป็นไปได้มากที่สุดในการเพิ่มมูลค่าตลาด
โดยพิจารณา market capitalization ของตลาดตราสารทุนไทยในช่วงปี 2545-2548 ที่ผ่านมาพบว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ขนาดของตราสารทุนไทยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าครึ่ง (45%)มาจากค่าพีอีที่เพิ่มขึ้นและอีกเกือบครึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของไทย
"หากพิจารณาปัจจัยการเพิ่มของขนาดตลาดตราสารทุนในประเทศเอเชียอื่น ๆ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และใต้หวันในช่วงปี 2543-2546 ก็พบเช่นเดียวกันว่าการเพิ่มขึคึ้นของขนาดตลาดมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าพีอี เป็นสำคัญ แม้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะไม่เป็นที่น่าพอใจ"
เศรษฐพุฒิ ยกตัวอย่างให้เห็นว่า หากสามารถเพิ่มค่าพีอีในกลุ่มการเงินของเราจากปัจจุบันที่ 9 เท่าให้ใกล้เคียงกับมาเลเซียที่ 15เท่า จะสามารถเพิ่มมูลค่าของ market capitalization ตลาดทุนไทยได้อีก 6 กว่าแสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 12% ของมูลค่าปัจจุบัน
ปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของตลาดไทยมูลค่าประมาณ 5.2 ล้านล้านบาท (ณ เมษายน 2549) ดังนั้นหากต้องการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของตลาดไทยกว่า 2 เท่าให้มีมูลค่า 10 ล้านล้านบาทเพื่อบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มบทบาทตลาดทุนไทยให้เทียบเคียงกับธนาคารพาณิชย์ตามแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 2 แล้วนั้นไทยจำเป็นต้องเพิ่มค่าพีอีของตลาดเป็นสำคัญ
|
|
|
|
|