Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2539
"กีรติ พานิชชีวะ ที่นี่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว"             
 


   
search resources

กรุงเทพประกันภัย, บมจ.
กีรติ พานิชชีวะ
Insurance




กีรติ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทกรุงเทพพานิชประกันภัย จำกัด หรือในชื่อเดิมว่า ร.ส.พ. ประกันภัย เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล พานิชชีวะกลุ่มคหบดีเชื้อสายจีนเก่าแก่ ที่มาตั้งรกรากดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

กีรติได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้เกิดขึ้นกับธุรกิจประกันวินาศภัยของครอบครัวที่ดำเนินมากว่า 10 ปีจากเดิมที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่จาก 2 ตระกูลหลัก คือ พานิชชีวะ และศรีเฟื่องฟุ้ง

วันนี้ธุรกิจประกันภัยเปลี่ยนไป การแข่งขันมีความเข้มข้นรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยจะต้องเปิดเสรีประกันภัย ตามข้อตกลงของแกตต์และอาฟตา รวมทั้งองค์กรการค้าโลกหรือ WTO ดังนั้นธุรกิจประกันภัยที่มีอยู่เดิมจำเป็นต้องสร้างความแข็งแรงให้กับธุรกิจของตนเองด้วยการสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อให้ธุรกิจของตนอยู่รอดและปลอดภัย

กีรติ เองก็เห็นเช่นนั้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นภายหลังการเปิดเสรีประกันภัย เขาจึงได้ร่วมมือเซ็นสัญญากับธนาคารกรุงไทยให้มาถือหุ้นใน ร.ส.พ. ประกันภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาและเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า "กรุงไทยพานิชประกันภัย" โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นใหม่คือธนาคารกรุงไทย 40% ตระกูลพานิชชีวะ และศรีเฟื่องฟุ้ง รวมกันกว่า 55% ที่เหลืออีกไม่ถึง 5% เป็นของเดช บุญหลง

กรุงไทยพานิชประกันภัยเดิมชื่อว่า ร.ส.พ. ประกันภัย ก่อตั้งโดยพลจัตวาประมาณ อดิเรกสาร (ยศในขณะนั้น) ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการรับส่งสินค้าและวัสดุภัณฑ์ ได้ร่วมกับเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง และไพบูลย์ พานิชชีวะ ตั้งบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัยขึ้นมาเพื่อรองรับการประกันให้แก่รถขององค์การ ร.ส.พ. ซึ่งตอนที่ตั้งบริษัทมีบริการประกันรถยนต์ของ ร.ส.พ. แต่เพียงอย่างเดียว และทางองค์การ ร.ส.พ. ถือหุ้น 1 ใน 3

หลังจากนั้น 2-3 ปี เมื่อประมาณหมดวาระจากผู้อำนวยการ ร.ส.พ. ลงทางผู้ถือหุ้นฝ่ายเอกชนก็ขอซื้อหุ้นในส่วนของ ร.ส.พ. มาด้วย ดังนั้นจึงเหลือผู้ถือหุ้นใหญ่เพียง 2 ตระกูล และไม่ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เพราะเห็นว่าชื่อเดิมเป็นที่รู้จักและยอมรับของตลาดเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ได้ขยายบริการเพิ่มขึ้นไม่ได้รับประกันรถอย่างเดียวเหมือนตอนเริ่มต้น

กีรติเล่าถึงปฐมบทในการร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยว่า เกิดจากการที่กลุ่มผู้บริหาร ได้คุยกันตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วว่าหากมีการเปิดเสรีประกันภัยจริงและยังไม่แน่นอน ว่าจะเปิดกว้างกันมากแค่ไหน ดังนั้นเห็นว่าควรจะเพิ่มศักยภาพของ ร.ส.พ. ประกันภัยเพื่อให้มีอำนาจในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

เขายืนยันว่า ร.ส.พ. ประกันภัยเองมีฐานะทางการเงินที่ดีมาโดยตลอด ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องหรือเงินทุนหมุนเวียน แต่เหตุที่ต้องดึงสถาบันการเงินใหญ่เช่นธนาคารกรุงไทยเข้ามานั้น จุดประสงค์หลักเพราะต้องการขยายฐานลูกค้าที่กรุงไทยสามารถรองรับตรงจุดนี้ให้ได้

อีกทั้งมีแนวความคิดในการบริหารงานที่สอดคล้องเป็นทิศทางเดียวกัน จึงตกลงเซ็นสัญญา และเปลี่ยนชื่อใหม่เมื่อปลายปี หลังจากที่มีการเจรจาเงียบ ๆ กันเป็นเวลาพอสมควรและมีการเพิ่มทุนจาก 60 ล้านบาทเป็น 100 ล้านบาทหลังจากที่ธนาคารกรุงไทยเข้ามาร่วมงานด้วย

หลังจากที่มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นแล้วก็มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการของบริษัทตามไปด้วย โดยธนาคารกรุงไทยได้ส่งตัวแทน 5 ท่านมาเป็นกรรมการบริหารของบริษัทจากคณะกรรมการทั้งหมด 13 ท่านโดย 8 คนที่เหลือเป็นของผู้ถือหุ้นเดิมหลังจากที่ได้พันธมิตรใหม่แล้ว กีรติเชื่อว่าอัตราการเติบโตของบริษัทปีนี้ จะโตขึ้นไม่น้อยกว่า 26% จากปีที่ผ่านมา

ในปี 2538 ร.ส.พ. ประกันภัย มีรายได้ 976 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักมาจากกลุ่มประกันภัยรถยนต์ และปีนี้ ภายใต้ชื่อกรุงไทยพานิชประกันภัยเขาตั้งยอดไว้ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะมีรายได้หลักมาจากประกันอัคคีภัย

นอกจากนี้การร่วมกับธนาคารกรุงไทยครั้งนี้จะทำให้เราขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มความสามารถในการขยายธุรกิจได้มากขึ้นซึ่งตอนนี้เรามีครบ 4 ประเภทแล้วคือประกันภัยรถยนต์, ประกันอัคคีภัย, ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง, ประกันเบ็ดเตล็ด โดยจะขยายเพิ่มในส่วนของเบ็ดเตล็ดให้มากขึ้น

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดจากการเปิดประกันภัยเสรีนั้น กีรติเห็นว่าภาครัฐควรที่จะต้องพิจารณาความสมดุลในการขยายตัวของธุรกิจควบคู่ไปกับจำนวนของบริษัท เพราะการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง ฉะนั้นถ้าเกิดการแข่งขันเสรีบริษัทที่ปรับตัวไม่ทันย่อมมีผลกระทบ ซึ่งหมายถึงกระทบต่อผู้บริโภคด้วย และอาจจะขยายวงกว้างไปสู่ความเชื่อถือทั้งระบบ ดังนั้นควรที่จะกำหนดทิศทางให้เหมาะสมและควบคุมกำกับให้เป็นไปตามมาตรฐานและระยะเวลาที่กำหนดไว้

รวมทั้งเห็นว่าเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยน ในการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยจะต้องสร้างธุรกิจของตน ให้ประชาชนเกิดความศรัทธาเลื่อมใส และในเรื่องนี้ควรที่ทุกฝ่าย จะต้องเร่งพัฒนาขยายเครือข่ายการบริการทางด้านต่าง ๆ ให้กว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งแนวทางในการพัฒนาและขยายบริการต่าง ๆ ทั้งในส่วนของราชการและเอกชน

กีรติ ถือได้ว่าถูกวางตัวมาเพื่อรับภาระนี้อย่างแท้จริง เขาจบปริญญาตรีทางด้านประกันภัยจากอเมริกา และจบปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจที่ประเทศเดียวกัน เริ่มไต่เต้ามาตั้งแต่พนักงานปฏิบัติการในฝ่ายอัคคีภัยและเบ็ดเตล็ด ในปี 2527 หลังจากนั้น 1 ปี เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝึกปรือวิทยายุทธ์อยู่หลายปีจึงได้ก้าวมาสู่ตำแหน่งกรรมการรองผู้อำนวยการของ ร.ส.พ. ประกันภัย จนความสามารถเป็นที่ประจักษ์เขาจึงได้ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ เมื่อปีที่ผ่านมาในวัย 37 ปี ซึ่งถือได้ว่ามีชั่วโมงบินในการทำงานมาอย่างเชี่ยวกรากครบถ้วน

ณ วันนี้เขายังมีงานใหญ่รออยู่อีกหลายโครงการ โดยเฉพาะจะต้องนำพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมทั้งต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นที่ยอมรับในแวดวงธุรกิจโดยเฉพาะเมื่อเปิดเสรีประกันภัยแล้วคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us