|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด วิเคราะห์ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โรงงานผลิตเหล็กในประเทศจีนหลายแห่งได้ปรับราคา Billet ขึ้นประมาณ 3-5 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นอีก เนื่องจากโรงเหล็กและผู้ค้าต่างมีสินค้าคงคลังลดลง บวกกับราคาต้นทุน(สินแร่เหล็ก) ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาเหล็กรีดร้อนปรับเพิ่มขึ้นจากที่เคยต่ำสุดในเดือนธันวาคม 2548 ที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ขยับเป็น 410 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันในเดือนมกราคม 2549 ก่อนจะขยับขึ้นเป็น 440 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันในเดือนมีนาคม 2549 เกิดจากเริ่มมีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามาและจีนลดกำลังการผลิตช่วงต้นปี
ส่วนเหล็กเส้นราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน หลังจากปรับลดลงไปต่ำสุดในเดือนมกราคม 2549 ที่ 16.20 บาท/กก. จากเดือนธันวาคม 2548 อยู่ที่ 16.40 บาท/กก. ก่อนที่ราคาจะปรับตัวพุ่งไปที่ 16.80 บาท/กก. แต่ยังคงเป็นราคาที่ต่ำกว่าในอดีตที่อยู่ในระดับ 20 บาท/กก.
บล.พัฒนสิน ระบุว่า จากการฟื้นตัวของราคาเหล็กระยะสั้น จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของราคาหุ้นผู้ประกอบการกลุ่มเหล็ก เช่น บริษัท บางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL บริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMT และบริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน) หรือ NSM เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2549 ผู้ประกอบการกลุ่มเหล็กจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นกว่าสิ้นปี 2548 แต่ยังคงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/48 ที่ผ่านมา หลังจากสินค้าคงคลังที่มีต้นทุนสูงได้บันทึกขาดทุนไปหมดแล้ว แต่บล.พัฒนสิน ยังให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มเหล็กไว้ที่ระดับ Underweight เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงทีราคาเหล็กจะยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป เนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาด แนะนำซื้อเก็งกำไร
พร้อมกันนี้ บล.พัฒนสิน ได้วิเคราะห์ผู้ประกอบการกลุ่มเหล็กเป็นรายบริษัท ประกอบด้วย บริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMT คาดว่า ไตรมาสแรกปี 2548 บริษัทมีมีกำไรสุทธิประมาณ 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท แต่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 70 ล้านบาท แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/49 จะอยู่ที่ 40 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาส 4/48 ที่มีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท แต่แย่กว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/49 ที่รายงานกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ราคาเหมาะสมอยู่ที่ประมาณหุ้นละ 3.80 บาท
บริษัท บางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM คาดไตรมาสแรกปี 2549 กำไรสุทธิจะปรับตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2548 ที่ขาดทุนสุทธิ 175 ล้านบาท แต่ลดลงจากไตรมาสแรกปี 2548 ที่กำไรสุทธิกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากผลกระทบทางบัญชี (ต้นทุน Billet ในสินค้าคงคลังถูกลง) แต่จะกำไรจากผลการดำเนินงานที่แท้จริงจะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป ราคาเหมาะสมที่หุ้นละ 1.46 บาท
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ไตรมาสแรกปี 2549 ขาดทุนสุทธิประมาณ 700-1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิกว่า 2 ,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการปิดซ่อมบุรุงโรงงานเป็นเวลา 1 เดือน ขณะที่แนวโน้มการทำกำไรคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนาน เนื่องจากบริษัทมีการสต็อกสินค้ากว่า 2,000 ล้านบาท ราคาเหมาะสมที่ 1.33 บาท
สำหรับหลักทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PERM ผู้ประกอบธุรกิจหลังคาโรงงาน ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิขยายตัวเพิ่มขึ้น ตรงข้ามกับบริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP ที่คาดว่าจะมีกำไรลดลง เช่นเดียวกันกับ GSTELL ที่จะต้องเริ่มมีการชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ ส่งผลให้มีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 400 ล้านบาท
"SSI-BSBM"ขานรับข่าวดี
ด้านแหล่งข่าวจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI และบริษัท บางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM เป็นหลักทรัพย์ในกลุ่มเหล็กที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด หลังจากที่ราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ และในปีที่ผ่านมา ได้ตั้งสำรองขาดทุนไว้ค่อนข้างมาก
"ปีที่ผ่านมาราคาเหล็กในตลาดโลกไม่ค่อยดี SSI ก็ได้มีการตั้งสำรองขาดทุนไว้ 2,700 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ราคาเหล็กรีดร้อนเริ่มขยับเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถนำส่วนที่ตั้งสำรองมารับรู้เป็นรายได้ในปีนี้บางส่วน ขณะเดียวกัน SSI ยังเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้ค่อนข้างมาก"
ด้านผลประกอบการในปี 2549 นั้น คาดว่า SSI จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่ขาดทุน 1,576 ล้านบาท แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 1.40 บาท ส่วน BSBM ประมาณกำไรสุทธิในปีนี้ไว้ที่ 200 ล้านบาท จากปี 2548 ที่ขาดทุน 89 ล้านบาท แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 1.20 บาท
อย่างไรก็ตามประเมินว่าในปีนี้ราคาเหล็กเฉลี่ยในตลาดโลกน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 กว่าเหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งต่ำกว่าปี 2548 ที่ราคาเหล็กในตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 553 เหรียญสหรัฐต่อตัน
BSBMคาดไตรมาสแรกกำไร93ล้าน
ส่วนบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2548 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2549 ราคาเหล็กเส้นและ Billet ในตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้ที่เพิ่มมากขึ้น และการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กในจีนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ขณะที่ตลาดต่างประเทศราคาเหล็กเส้นมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่จะขึ้นต่ออีกแค่ไหนนั้นขึ้นกับราคาเหล็กในตลาดโลกเป็นสำคัญและการคาดการณ์ราคาเหล็กของผู้ค้าส่ง (Stockists) ฐานลูกค้าของบริษัทประมาณ 80-90% เป็น Stockists หาก Stockists คาดว่าราคาเหล็กมีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อย่อมส่งผลให้ความต้องการเหล็กในประเทศเพิ่มขึ้น และราคาเหล็กจะเพิ่มขึ้นในที่สุด
จากปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลดีต่อ BSBM ทำให้พลิกฟื้นกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 1/49 ประมาณ 93 ล้านบาท จากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิกว่า 180 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าบริษัทจะมีการกลับรายการค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 52 ล้านบาท เพื่อสะท้อนราคาเหล็กเส้นในประเทศซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 4/48 เมื่อหักภาระดอกเบี้ยจ่ายและค่าตอบแทนกรรมการแล้วพบว่ามีกำไรสุทธิ 85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/48 ที่ขาดทุนสุทธิ 175 ล้านบาท
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นเด่นในกลุ่มเหล็ก ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2549 SSI มีราคาปิดที่ 1.24 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.02 บาท หรือ 1.64% มูลค่าการซื้อขาย 62.52 ล้านบาท BSBM ปิดที่ 1.27 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.01 บาท หรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขาย 3.64 ล้านบาท และ TMT ปิดที่ 3.24 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ 1.25% มูลค่าการซ้อขาย 0.89 ล้านบาท
|
|
|
|
|