|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"หม่อมอุ๋ย"เชื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลาย หลังรักษาการนายกฯเว้นวรรคทางการเมือง เชื่อเมื่อทุกฝ่ายมีความสมานฉันท์เรียกความมั่นใจนักลงทุนกลับมาได้ ด้านผอ.ออมสินมั่นใจ ใครเป็นนายกฯก็ทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวต่อไปได้ หากมีความพร้อมและมั่นคง แนะรัฐบาลชุดใหม่ไม่ควรชะลอโครงการเมกะโปรเจกต์
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ประกาศความชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยต่อไปว่า ประเด็นของเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ว่าจะเว้นวรรคหรือไม่เว้นวรรค แต่ประเด็นคือเริ่มเห็นการปรองดองกันของคนในสังคม ซึ่งเมื่อมีบรรยากาศความปรองดองกันในประเทศนักลงทุนก็จะสบายใจ และส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา
ด้านนายกรพจน์ อัศวินวิจิตร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น โดยส่วนตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะเป็นบุคคลใดก็ได้ ทั้งนักการเงินหรือนักกฎหมาย ขึ้นอยู่กับการลงมติเลือกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบริหารประเทศ ไปสู่ความเจริญได้ เพราะขณะนี้ประเทศต้องการให้มีผู้สานต่อนโยบายต่างๆ โดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์ ที่ไม่ควรจะล่าช้าไปจากแผนเดิมมากเกินไป เพราะอาจกระทบความสามารถการแข่งขันของประเทศได้
“ผมเองเคารพในดุลยพินิจของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ไม่ว่าใครได้รับเลือกมาเป็นนายกฯ ผมเองมีความมั่นใจว่าจะนำพาประเทศมาสู่ความเจริญทางเศรษฐกิจ ถึงแม้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะมีอาการชะลอลง แต่ถ้า มีความพร้อมและมีความมั่นคง เดินหน้าไปด้วยกัน เชื่อว่าประเทศยังมีความสดใส และทั่วโลกยังมองมาที่ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศหลักในเอเชีย ที่ทั่วโลกต้องการมาลงทุน ที่เป็นประเทศที่เป็นฐานและมีศักยภาพที่จะเข้ามาลงทุน" นายกรพจน์ กล่าว
สำหรับนโยบายการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ คงต้องใช้เวลาพิจารณาโครงการต่างๆ ที่ยังชะลออยู่ แต่มีหลายโครงการที่ไม่ควรจะชะลอมากนัก หากมีความจำเป็น หากเป็นเรื่องการสร้างขีดความสามารถของประเทศ และเตรียมความพร้อมบนเวทีการค้าโลก เพื่อให้ก้าวทันกระแสโลก เช่น โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือเมกะโปรเจกต์
ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ถือได้ว่าการเมืองของประเทศ มีการพัฒนามากขึ้น แม้แต่ละกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีความคิดเห็นต่างกัน แต่ก็เป็นไปอย่างสันติวิธี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ที่ทุกฝ่ายมีความสมานฉันท์ ยึดประเทศเป็นหลัก ปัญหาการเมืองจึงไม่กระทบเศรษฐกิจของประเทศมากนัก และเมื่อการเมืองคลี่คลายลง นักลงทุน จะกลับมามีความเชื่อมั่นเช่นเดิม
" ถือเป็นพัฒนาการเมืองไทยที่แม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่คนไทยทุกคนก็มีเหตุมีผล และสุดท้ายเมื่อต้องคิดถึงความสมานฉันท์ของประเทศ ทุกฝ่ายก็ร่วมมือกัน อยู่ในกฎระเบียบ ซึ่งเป็นการแสดงให้นักลงทุนทั่วโลก ได้เห็นว่าคนไทยยังสามัคคีอยู่และยังยึดมั่นในเรื่องประเทศชาติเป็นหลัก ดังนั้นนักธุรกิจที่มาลงทุนในไทย แม้จะเห็นความคิดที่ต่างกัน แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ไทยแปรเปลี่ยน ความเจริญ ความมั่นคง นักลงทุนยังเชื่อมั่นว่า ไทยยังมีความมั่นคงชัดเจน ในการยึดมั่นในกติกา และระบบประชาธิปไตย " นายกรพจน์ กล่าว
|
|
|
|
|