สำหรับฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งที่ 4 ของเอ็มเอ็มซี
สิทธิผล นั้น กล่าวได้ว่า ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ปิกอัพมาจากมิตซูบิชิ
มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เกือบจะทุกด้าน จะขาดก็เพียงงานวิจัยและพัฒนาเท่านั้น
แต่ส่วนงานที่ยังขาดอยู่นั้น กลับคือหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ก็ว่าได้
"ยินดีที่เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ฟันฝ่าอุปสรรคจนทำงานระดับโลกได้ มิตซูบิชิมอเตอร์สตั้งใจให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่
และจะช่วยเหลือในทุก ๆ ด้าน"
คำกล่าวของเรจิโรที่มอบให้ในชั้นนี้ แถมด้วยยาหอมที่ว่า
"การวิจัยและพัฒนานั้นได้ทยอยถ่ายทอดมาไทยอยู่แล้ว และอนาคตอันใกล้นี้
ไทยจะสามารถทำการผลิตและออกแบบรถยนต์ได้เอง"
ทางด้านวัชระก็มั่นใจว่า เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว อนาคตอีกไม่ไกล เอ็มเอ็มซี
สิทธิผล จะได้ครบทุกอย่าง
ขณะนี้การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการวิจัยและพัฒนานั้นทางไทยได้พยายามเรียนรู้อยู่
ซึ่งคงต้องใช้เวลา ทั้งนี้ทางญี่ปุ่นเขาพยายามและเต็มใจถ่ายทอดให้อยู่แล้ว
แต่คงบอกไม่ได้ว่าภายในกี่ปีเราจึงจะพัฒนาไปถึงขั้นทำทุกอย่างเองได้หมดเกี่ยวกับการผลิตปิกอัพมิตซูบิชิ"
วัชระกล่าว
แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรก็ตาม ถ้ามองถึงบทเรียนในอดีตแล้ว คงกล่าวว่า
การทีมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นจะยินดีมอบหัวใจให้กับเอ็มเอ็มซี สิทธิผล
นั้น เป็นเรื่องที่ต้องตระหนักอย่างที่สุดทีเดียว
มองย้อนไปเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่มิตซูบิชิมอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
ตัดสินใจจะเดินทางนำพาชื่อของมิตซูบิชิออกนอกประเทศญี่ปุ่น แต่การเปิดตัวสู่ตลาดโลกในครั้งนั้น
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น รู้ดีว่า ตนเองยังคงเป็นบริษัทเล็ก ๆ และยากที่จะเข้าต่อในตลาดอย่างยุโรปและอเมริกา
ซึ่งล้วนแต่มียักษ์ใหญ่ทั้งเจ้าของพื้นที่ และยักษ์จากญี่ปุ่นเองไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า
นิสสัน หรือแม้แต่ฮอนด้าเข้าครอบครองพื้นที่ทำกินอย่างเหนียวแน่นไว้แล้ว
การตัดสินใจเข้าสู่ตลาดเอเชียจึงเกิดขึ้น
การเจาะตลาดเอเชีย ซึ่งในยุคนั้นถือว่ายังบริสุทธิ์อยู่มากเป็นไปอย่างที่ยักษ์จากญี่หลาย
ๆ ราย ยังไม่มองถึง ประกอบกับอเมริกาได้ถอนทัพกลับไป เนื่องจากทิศทางด้านการเมืองที่ไม่สู้ดีนัก
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้แพ้วทางไว้อย่างสวยหรู กระจายการลงทุนไปทั่วเอเชีย
กับนักลงทุนท้องถิ่นในหลายท้องถิ่นในหลายประเทศ ไทยก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง จนเกิด
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ขึ้นมา และดูเหมือนว่านโยบายครั้งก่อนนั้นจะสร้างเครือข่ายทำให้มิตซูบิชิ
มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เติบโตอย่างรวดเร็วทีเดียว
และแนวนโยบายของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นที่เกิดขึ้นเอง จึงทำให้ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกหลายรายได้หันมามองเอเชียอีกครั้ง
และดำเนินรอยตามนับจากนั้นมา
แต่ภายใต้เส้นทางเดินที่ดูสวยงามนั้น กลับมีอยู่ 2 กรณีที่ชัดเจน ซึ่งนับว่าจะสร้างความชอกช้ำให้กับมิตซูบิชิ
มอเตอร์สคอร์ปอเรชั่นไม่ใช่น้อยจนเป็นข้อสงสัยว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสุดยอดให้กับเอ็มเอ็มซี
สิทธิผล จะเกิดขึ้นได้จริงหรือ
หนึ่งคือการเข้าไปถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับฮุดได ยักษ์ของเกาหลีใต้ จนปัจจุบันเมื่อฮุนไดเติบใหญ่
จนมั่นใจในเทคโนโลยีของตนเอง ความสัมพันธ์ที่มาแต่เก่าก่อนก็เริ่มจืดจางลง
แม้ว่าจะยังติดต่อสานธุรกิจเพื่อสร้างผลประโยชน์กันอยู่แต่ก็รู้กันว่าผลประโยชน์ที่มิตซูบิชิ
มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นได้รับนั้น นับวันจะยิ่งลดน้อยลง เสมือนว่า วิชาที่ถ่ายทอดให้นับจากอดีตนั้นหมดความขลังลงแล้ว
ยิ่งกรณีที่สองนั้น เจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
ในยุคนั้น หลายประเทศในเอเชียต้องการที่จะเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แบบที่ญี่ปุ่นเป็น
จึงได้พยายามก้าวตามรอยเท้า มาเลเซียก็เป็นประเทศหนึ่งในจำนวนนั้น
ครั้งนั้น มหาธีร์ โมฮะหมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้เรียกร้องให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยตรงให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ
ซึ่งขณะนั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เป็นรายหนึ่งที่พร้อมให้ในทันที
ทั้งเงินลงทุนและวิทยาการความรู้
"โปรตอน" คือโครงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของมาเลเซีย ที่มิตซูบิชิ
มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ทุ่มช่วยเหลือ จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าการตลาดถึง
30,000 ล้านบาทต่อปี
ปัจจุบัน โปรตอน ของมาเลเซีย ได้แยกตัวออกจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
อย่างสิ้นเชิง แม้แต่การสั่งซื้อชิ้นส่วนจากทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น
ก็ยังไม่ใช่เรื่องจำเป็น
มหาธีร์หันไปผูกมิตรกับฝรั่งเศส โดยระบุว่าญี่ปุ่นไม่จริงใจในการถ่ายทอดเทคโนโลยี
เมื่อเทียบกับชาติในยุโรปและล่าสุดรถโปรตอนรุ่นแรกที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากซีตรองก็เพิ่งปรากฎโฉมเมื่อเร็ว
ๆ นี้
บทเรียนที่เกิดขึ้นย่อมชัดเจน แต่เพราะความซบเซาที่เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์ญี่ปุ่น
โดยเฉพาะตลาดปิกอัพ บวกกับต้นทุนราคาที่นับวันจะสูงขึ้น จึงทำให้มิตซูบิชิ
มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จำกัดต้องกัดฟัน หาเพื่อนรู้ใจที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งเพิ่มขึ้นไปอีก
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จึงมีวันนี้
"เพราะไว้ใจจึงให้เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ผลิตและจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในโลก"
คำกล่าวของเรจิโรซึ่งไม่รู้ว่าแอบแฝงความนัยไว้หรือไม่
"วันหนึ่งข้างหน้าญี่ปุ่นจะต้องเข้ามาถือหุ้นมากขึ้น เมื่อย้ายทุกอย่างของการผลิตปิกอัพเข้ามาเมืองไทยแล้วจากปัจจุบันที่โครงสร้างยังเป็นไทยถืออยู่
52% และญี่ปุ่น 48% เพราะมองไม่เห็นว่าญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์จากตรงไหนถ้าให้ทุกอย่างกับ
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จนหมด แต่ถ้ากรณี เอ็มเอ็มซี สิทธิผล เป็นผู้รับจ้างคิดโครงการ
ออกแบบและผลิตแล้วส่งรถยนต์ปิกอัพให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จำจำหน่ายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
ผู้ที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ความเห็น
"ทำไม จะต้องคอยมองว่าญี่ปุ่นจะเข้ามาเทกโอเวอร์" วัชระกล่าวด้วยเสียงค่อนข้างดังต่อ
"ผู้จัดการ"
"อนาคตการเปลี่ยนแปลงจะมีหรือไม่ เราไม่รู้ และไม่อาจกล่าวไปถึงตรงนั้น
เพียงแต่ขอว่าอย่าไปมองตรงนั้นมาก เพราะทุกวันนี้ผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากการย้ายฐานมาเมืองไทยก็มีแล้ว
เพราะเขาถือหุ้นที่นี่ถึง 48% การที่ต้องเพิ่มการถือหุ้นอีกหรือไม่นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ"
วัชระกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ คงกล่าวได้ว่า เอ็มเอ็มซี สิทธิผลยังคงเป็นเพียงโรงงานรับจ้างประกอบเท่านั้นในส่วนของการส่งออก
ยังไม่ใช่การประกอบเพื่อจำหน่ายด้วยตัวเอง จนถึงวันที่ทุกอย่างได้รับโอนมายังฐานการผลิตแห่งนี้เสียก่อน
โครงสร้างตรงนี้จึงจะต้องพิจารณากันใหม่ และภายใต้เงื่อนไขโครงสร้างการถือหุ้นที่ต้องพูดคุยกันใหม่ด้วย
ประเด็นเหล่านี้วัชระไม่อาจกล่าวปฏิเสธได้