|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นรับข่าวนายกฯเว้นวรรครับตำแหน่ง ระหว่างวันดัชนีพุ่งขึ้นสูงสุดเกือบ 28 จุดก่อนมีแรงขายเล็กน้อยมาปิดบวก 22.74 จุด
นักลงทุนต่างชาติคลายกังวลไล่ซื้อหุ้นบิ๊กแคปไม่ยั้งล่าสุดซื้อสุทธิเกือบ 1.5 หมื่นล้าน "กิตติรัตน์"ระบุนักลงทุนได้รับข้อมูลที่รอคอยเพิ่มขึ้น ด้านนายกฯสมาคมรายย่อย เผยนายกฯพูดยังไม่ชัดเจน ชี้นักลงทุนไล่ซื้อเพราะประเมินความเสี่ยงได้มากขึ้น "มนตรี" เชื่อตลาดหุ้นขึ้นเค่ช่วงสั้น "ศุภวุฒิ" ยังเชื่อดัชนีสิ้นปีมีโอกาสแตะ 880 จุด คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 4.5%
ภายหลังการประกาศเว้นวรรคทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐนตรี ส่งผลอย่างชัดเจนต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศและมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น การขานรับที่เกิดขึ้นมุมมองของคนในภาคตลาดทุนต่างเชื่อว่าการออกมาประกาศต่อสาธารณะชนแม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจน 100% แต่เมื่อมีความคืบหน้า หรือมีแนวโน้มว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมากำลังจะเดินทางมาสู่ทางออกของปัญหาจึงส่งผลต่อตลาดทุนอย่างชัดเจนโดยตลอดทั้งวันดัชนีแกว่งตัวในระดับสูงตลอดทั้งวัน โดยมูลค่าการซื้อขายปรับตัวสูงเกิน 5 หมื่นล้านซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ 5 มกราคม 2549ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขาย 5.14 หมื่นล้านบาท ไม่นับวันที่มีการซื้อขายหุ้นบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ของกลุ่มเทมาเสก ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายถึง 9.40 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในระหว่างวันที่ระดับ 773.12 จุดเพิ่มขึ้น 27.79 จุดต่อมาได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงและมาปิดที่ระดับ 768.07 จุด เพิ่มขึ้น 22.74 จุด หรือ 3.05% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 51,072.21 ล้านบาท
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 14,962.88 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 956.68 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 14,006.20 ล้านบาท
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คำแถลงของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเว้นวรรคทางการเมือง โดยส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่เชื่อว่าการประกาศออกมาในครั้งนี้มีนัยะที่ดีต่อตลาดหุ้นจึงทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ความชัดเจนที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีความคลุมเครืออย่างต่อเนื่องเหมือนปัจจัยทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกกลุ่มรอคอยเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นนักลงทุนก็มีความมั่นใจมากขึ้นเช่นกัน
นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า แม้ว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีจะมีการแถลงการออกมาเกี่ยวกับการรับตำแหน่งแต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน 100% แต่ทั้งนี้การแถลงการซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ทุกช่องรวมถึงมีการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศหลายช่องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างประเทศได้ในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก แต่ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขของเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งในเรื่องการเสนอนายกรัฐมนตรีหากสามารถเปิดประชุมสภาได้ ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนได้ชัดเจนมากขึ้น
"มีการถ่ายทอดไปทั่วโลกสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในความสนใจของการแถลงการแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนมากนักแต่ก็มีเรื่องของระยะเวลาเข้ามาทำให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงได้มากขึ้น"นายวิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตามการประเมินการลงทุนเพียงพิจารณาพื้นฐานการลงทุนอาจจะไม่เพียงพอต่อการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศซึ่งเป็นปัจจัยหลักยังไม่มีความชัดเจนทำให้นักลงทุนบางส่วนยังคงต้องชะลอการลงทุนต่อไป
บิ๊กกิมเอ็งเชื่อหุ้นขึ้นแค่ช่วงสั้น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่าหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาประกาศเว้นวรรคทางการเมือง ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นรับข่าวค่อนข้างมา โดยเชื่อว่าดัชนีฯ น่าจะตอบรับแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะปัจจัยทางการเมืองยังไม่จบและกลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่ได้ระบุว่าจะยุติการชุมนุม
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2549 มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีอยู่ที่ 780 -800 จุด หากสถานการณ์ทางการภายในประเทศเมืองคลี่คลายและมีทางออกที่ดี อย่างไรก็ตามบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) อาจจะมีการพิจารณาปรับเป้าดัชนีในปีนี้ใหม่ ซึ่งจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงยังไม่สามารถระบุได้ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลายลงบ้าง แต่ก็ยังไม่มีการปรับประมาณการเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปี 2549 เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองยังไม่ได้ ข้อสรุปยังถาวร จึงยังประมาณการมูลค่าการซื้อขายในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท
ภัทรเชื่อดัชนีสิ้นปี880จุด
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัท ภัทร จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า คาดว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึงระดับ 880 จุด เนื่องจากปัจจุบันอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บล.ภัทร คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะเติบโตประมาณ 5-7% ซึ่งหากกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 880 จุด ซึ่งจากการคาดการณ์คาดว่ากลุ่มที่จะมีผลการดำเนินการออกมาสูง คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์
สำหรับเงินลงทุนจากต่างชาติเชื่อว่ายังมีการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากปัจจัยทางการเมืองผ่านพ้นไปได้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ที่ 4.5% โดยภาคการลงทุนจะขยายตัวได้ 5-7% ในส่วนการส่งออกในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 18%
ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย คาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในสัปดาห์หน้าน่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) 14 วัน อีก 0.25% ซึ่งจะทำให้ปรับมาอยู่ที่ 4.75% ซึ่งน่าจะเป็นระดับที่สูงสุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าวคงจะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายและการตัดสินใจของธปท.ว่า จะมีนโยบายในเรื่องดังกล่าวอย่างไร โดยการประชุมเรื่องกนง. ครั้งต่อไปคือวันที่ 10 มิถุนายนนี้ ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ คาดว่าจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 8% ซึ่งไม่ถือว่าเป็นระดับที่น่าเป็นห่วง
ลุ้นนายกฯคนใหม่สานต่องาน
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีเป็นเพราะรับข่าวการประกาศการเว้นวรรคทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนักลงทุนมีคลายความกังวลจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยในส่วนของการซื้อของนักลงทุนต่างชาติมีแรงซื้อสลับการขายทำกำไร
ทั้งนี้ การคัดสรรเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะส่งผลต่อโครงการของภาครัฐต่างๆ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่ต้องรอนโยบายจากภาครัฐและท่าทีของนายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่ามีนโยบายในเรื่องดังกล่าวอย่างไร
อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีในวันที่ 7 เมษายนนี้ อาจจะมีการปรับตัวลดลงได้ เนื่องใกล้ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ จึงยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 760-763 จุด แนวต้าน 773-775 จุด
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของดัชนีวานนี้ซึ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 773.12 จุด เป็นการทำดัชนีสูงสุดของปี 2549 ครั้งใหม่ โดยปัจจัยหลักคือเรื่องการเว้นวรรคทางการเมืองของพ.ท.ต.ทักษิณ ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้กลุ่มหลักทรัพย์ที่นักลงทุนเข้ามาซื้อมากที่สุดกลุ่มสื่อสาร หลักทรัพย์ ธนาคาร วัสดุก่อสร้างและพลังงาน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน
ทั้งเรื่อง การเลือกตั้งครั้งใหม่ การเปิดประชุมสภาการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และท่าทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าจะมีท่าทีที่ชัดเจนอย่างไร
|
|
 |
|
|