Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2543








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2543
Saving Big Blue             

 





IBM ภาษาอังกฤษสามตัวนี้ ใครๆ ก็รู้จักในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี เจ้าของฉายา "ยักษ์สีฟ้า" (Big Blue) แน่นอนทุกคนเชื่อว่ายักษ์มีโอกาสล้มได้ แต่น้อยคนที่เชื่อว่าเมื่อยักษ์ล้มแล้วจะลุกขึ้นได้เร็ว แต่ยักษ์สีฟ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้ว และผู้ที่ทำให้ยักษ์ตัวนี้ลุกขึ้นยืนได้ ก็คือ หลุยส์ เกิรส์เนอร์ (Lou Gerstner)

ก่อน ที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งซีอีโอของ IBM หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ เรียกเขาว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อการรอคอยของประวัติศาสตร์อเมริกาแห่งโลกธุรกิจ

สมญานามนี้เกิร์สเนอร์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบริษัทขนาดยักษ์อย่างอาร์เจอาร์ นาบิสโก (RJR Nabisco) ที่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ธุรกิจกำลังไม่อยู่กับร่องกับรอย และมีแนวโน้มจะล่มสลาย เกิร์สเนอร์สามารถสร้างผลกำไรให้นาบิสโกได้ถึง 299 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1992 หลังจากขาดทุนมโหฬารในปี 1989 ด้วยตัวเลข 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จึงดูเหมือนว่าเขาเป็นอัศวิน ที่ขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือองค์กร ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากให้เจริญเติบโตได้อย่างมหัศจรรย์

ปัจจุบันเกิร์สเนอร์ได้รับการยกย่องจากนิตยสารฟอร์จูนว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลม เป็นผู้นำ ที่มีพลังในการสร้างองค์กรให้เติบใหญ่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมองค์กร

IBM คือ องค์กร ที่สร้างความท้าทายตลอดช่วงชีวิตการทำงานของเขาอีกครั้ง เมื่ออาสาเข้ามาชุบชีวิตยักษ์สีฟ้าให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

Saving Big Blue จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกทึ่งถึงการทำงานหนักของเกิร์สเนอร์ ซึ่งผลที่ตามมา ก็คือ การฟื้นคืนชีพของยักษ์สีฟ้า หนังสือเล่มนี้จะอธิบายว่าเขาทำอย่างไร และมีกลยุทธ์แบบไหน ใช้ไหวพริบอย่างไรต่อภาวะฉุกเฉินในกรณีของ IBM เพื่อกอบกู้ชื่อเสียง และประคับประคองไม่ให้ผลการดำเนินงานเลวร้ายลงไปมากกว่านี้

วันที่ 19 มกราคม ปี 1993 IBM สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อประกาศผลการดำเนินงานของปี 1992 ขาดทุนสูงถึง 4.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปรากฎการณ์นี้นักนักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ยักษ์สีฟ้าถึงคราวถดถอยอย่างรุนแรงแล้ว

ก่อนหน้าที่เกิรส์เนอร์จะเข้ารับตำแหน่งในช่วงปี 1992 IBM ได้พยายามปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้บริษัทรอดพ้นจากภาวะวิกฤติ ซึ่งการเปลี่ยนโครงสร้าง และวัฒนธรรมของยักษ์สีฟ้านี้ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จนั้น ต้องดำเนินการชนิดถอนรากถอนโคน เนื่องจากในช่วง ที่จอห์น เอเคอร์นั่งบัญชาการอยู่นั้น IBM ได้เผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่จากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความใหญ่เทอะทะขององค์กร การสนใจอยู่แต่เฉพาะเมนเฟรมโดยละเลยธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

ปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบรุนแรงถึงขนาด ที่ว่ากิจการ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปี 1946 ต้องถึงจุดสะดุด และไม่อาจเติบโตต่อไปอีกได้อีก ซ้ำร้ายยังขาดทุนเป็นจำนวน 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 1991 นับเป็นปีแรก ที่ยักษ์สีฟ้าขาดทุนตั้งแต่ก่อตั้งกิจการขึ้นมา

จากทศวรรษ ที่ 1950 เรื่อยมาจนถึงทศวรรษ ที่ 80 IBM คือ บริษัทอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ใช่เฉพาะ IBM เท่านั้น ที่ทำธุรกิจนี้ มีอีกหลายบริษัท ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจคอมพิวเตอร์แล้วสร้างผลประกอบการ กอบโกยผลกำไรอย่างมหาศาลทั้งในอเมริกา และประเทศอื่นทั่วโลก

หลังจากนั้น เป็นต้นมาเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อย่างคาดไม่ถึง ฉับพลัน และโหดร้ายสำหรับ IBM เมื่อไมโครซอฟท์ และอินเทล ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่สำหรับคอมพิวเตอร์บุคคล (PC) ขึ้นมาให้โลกได้รับรู้ ส่งผลให้ IBM สูญเสียรายได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีในต้นทศวรรษ ที่ 90

เมื่อ IBM ตัดสินใจอนุญาตให้ไมโครซอฟท์ควบคุมซอฟต์แวร์ PC และอินเทลเป็นซัพพลายไมโครโปรเซสเซอร์ ผลดังกล่าวได้ย้อนกลับมา และสร้างความเจ็บปวดให้กับ IBM ชนิดไม่มีวันลืม

วันที่ 26 มีนาคม 1993 เกิรส์เนอร์เข้ามาดำรงตำแหน่งซีอีโอใน IBM

และเขาก็สามารถสร้างปฏิหารย์ให้เกิดขึ้น โดยสามารถสร้างกำไรได้เป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน กลยุทธ์ต่างๆ ถูกงัดมาใช้ชนิด ที่เรียกว่าพลิกผันโดยสิ้นเชิง

ระบบงานแบบราชการที่มีขั้นตอนมากมายถูกยกเลิก แทน ที่ด้วยทีมงาน ที่สอดประสานกันเป็นอย่างดี โดยไม่มีการกำหนดอาณาเขตอย่างชัดเจนว่าเป็นของสายใดสายหนึ่ง

แน่นอน เพื่อความคล่องตัวก็เป็นธรรมดา ที่อาจต้องมีการลดพนักงานลงเสียบ้าง เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคที่บริษัทขาดสภาพคล่องแล้ว ยังทำให้การวางแผนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อสามารถสร้างความเข้าใจกับพนักงานว่าทำ เพื่อให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น

เมื่อเกิดปัญหาต่อภายในองค์กร แต่ IBM ไม่ยอมลดขนาดองค์กรลง โดยเฉพาะการปลดพนักงาน ถึงแม้ว่างานนี้จะได้รับความชื่นชมจากหลายๆ ฝ่ายว่าบริษัทให้ความสำคัญต่อพนักงาน ซึ่งขณะนั้น IBM มีพนักงานมากกว่า 3 แสนคนกระจายอยู่ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้องค์กรถูกแช่แข็งในการก้าวกระโดดไปข้างหน้าท่ามกลางการแข่งขัน ที่ดุเดือดมากขึ้น

นโยบายของเกิรส์เนอร์ คือ ต้องการให้การดำเนินงานของ IBM ทุกสาขาทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวในลักษณะขององค์กรธุรกิจโลก หรือ Global Organization ที่จะไม่มีคำว่าสาขาอีกต่อไป เพื่อประโยชน์ในการใช้ทรัพยากร ที่มีอยู่ทั้งหมดร่วมกัน และ ที่สำคัญยังเป็นการลดค่าใช้จ่าย ลดขั้นตอนการทำงานรวมทั้งลดขนาดองค์กรลงได้

เกิรส์เนอร์บอกว่าการแก้วิกฤติของ IBM ที่จะสัมฤทธิผลได้มากที่สุด คือ การลดจำนวนพนักงานลง เพื่อลดต้นทุนของบริษัทในระยะยาว หลังคำประกาศของซีอีโอคนใหม่พนักงานจำนวนถูกปลดไปกว่า 1 แสนคนทั่วโลก จากจุดนี้เองทำให้ IBM มีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีกครั้งหลังจากประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก

สำหรับ Saving Big Blue เสนอรายละเอียดถึงความเป็นผู้นำ ที่เขาพิสูจน์ให้ปรากฎความจริงขึ้นมาว่า เขาเป็นผู้นำองค์กรอย่างแท้จริง

เกิร์สเนอร์เริ่มเปลี่ยนแปลง IBM จากจุดเล็กๆ ที่กำลังมืดครึ้มให้สว่าง แล้วลงท้ายด้วยการเปลี่ยนแนวทางการบริหารภายใต้เงื่อนไข ที่ว่าให้บริการลูกค้ามากกว่า ที่เคยเป็นในอดีต

หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจอย่างมาก และถือเป็นกรณีศึกษาของการบริหารองค์กร แต่จะต้องอยู่ข้อแม้ว่าผู้บริหารทั่วไปจะต้องมีแผนงาน ที่ละเอียด และพยายามนำไปใช้ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับธุรกิจตนเอง

หลายคนมองว่าเกิร์สเนอร์ได้นำยุทธศาสตร์การบริหารงานแบบสลับซับซ้อนมาใช้กับ IBM ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิดกัน เพราะเกิร์สเนอร์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาได้ใช้วิธีการบริหารแบบพื้นฐานมาปรับใช้ คือ listen, customers และ focus นี่คือ แนวคิดของเกิร์สเนอร์ในการสร้างธุรกิจแบบระยะยาวให้ IBM

"คุณยังไม่ลงมือทำ และเมื่อคิดจะทำ คุณก็นึกว่าลำบากแล้ว" นี่คือ ประโยคเด็ด ที่ หลุยส์ เกิร์สเนอร์ฝากบอกไว้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us