-เกีย PICANTO- RIO ปฏิบัติการชิมรางฟื้นตลาดรถนั่งเกาหลีในเมืองไทย
-ยนตรกิจหวั่นปัจจัยด้านราคาอาจทำให้แข่งขันรถญี่ปุ่นลำบาก เหตุไม่มีไลน์ผลิตในประเทศ
การเติบโตของตลาดรถยนต์เกาหลีใต้ในเมืองไทยที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน แม้จะไม่รุ่งโรจน์เหมือนธุรกิจ ภาพยนตร์ ละคร อาหาร หรือจนถึงเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ถึงกับล้มฟุบเสียทีเดียว ปัจจุบันรถยนต์จากเกาหลีที่ยังคงทำตลาดได้มีเพียงแบรนด์ เกีย ที่นำเข้าโดยบริษัท ยนตรกิจเกีย มอเตอร์ จำกัด ในเครือของกลุ่มยนตรกิจ และดูจะยังคงเป็นเกาหลีเพียงแบรนด์เดียวที่ยังคงขยายตลาด เท่ากลางสถานการณ์การแข่งขันรุนแรงกับรถยนต์จากค่ายญี่ปุ่น
ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งของรถยนต์จากเกาหลี ที่เสียเปรียบรถยนต์จากญี่ปุ่นยังคงเป็นเรื่องของราคา เนื่องจากในขณะนี้ รถยนต์เกีย ยังไม่มีโรงงานผลิตในประเทศ ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาข้อเสียเปรียบดังกล่าวได้ ซึ่งทางผ่านมา เกีย ใช้กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่เน้นความแตกต่างจากคู่แข่ง คือ การหลีกเลี่ยงการทำตลาดในเซ็กเมนท์ที่มีการแข่งขันรุ่นแรง และหันไปเน้นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากคู่แข่ง
เมื่อไม่มีคู่แข่ง ก็ไม่มีการเปรียบเทียบในเรื่องราคา เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นระยะหลัง เกีย ภายใต้การทำตลาดของกลุ่มยนตรกิจ หันไปทุ่มเทให้กับรถปิกอัพขนาด 1.5 ตัน คือ K2700 ซึ่งเป็นปิกอัพที่ค่อนไปทางรถบรรทุกใหญ่ เป็นการสอดแทรกตลาดการขนส่งที่ยังไม่มีค่ายรถค่ายไหนรุกตลาดอย่างจริงจัง หรือที่มีอยู่ในตลาดที่ผ่านมาก็เป็นรถบรรทุกมือสองจากประเทศจีน สามารถพูดได้ว่า ปัจจุบัน K2700 น่าจะเป็นตลาดหลักของรถยนต์เกียในเมืองไทย
แต่ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 27 ที่ผ่านมา เกียมีการนำรถยนต์ 3 รุ่นเข้ามาเปิดตัวได้แก่ KIA GRAND CARNIVAL, KIA RIO และ KIA PICANTO โดย GRAND CARNIVAL เป็นรถยนต์แบบเอ็มพีวี 11 ที่นั่ง เครื่องยนต์ดีเซล รุ่น J 2.9 CRDi ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิด 35.0 กก.-ม.ที่ 2,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ช่วงล่างแม็คเฟอร์สันสตรัท และอิสระแบบมัลติลิงค์ พร้อมระบบดิสก์เบรก และระบบ ESP กับระบบ VRS
ขณะที่ RIO นั้นเป็นรถยนต์นั่งขนาด คอมแพ็กต์ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร 16 วาล์ว เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูง พร้อมระบบปรับวาล์วแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 14.9 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบต่อนาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 176 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท หลังแบบกึ่งอิสระ Transverse torsion พร้อมเหล็กกันโคลง-โช๊คอัพแก๊สหน้า-หลัง
ส่วน KIA PICANTO นั้นเป็นรถยนต์ประเภทประหยัดน้ำมัน แต่คงแนวคิดแบบรถยนต์เอนกประสงค์ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.1 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 64 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 9.6 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที แต่ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 152 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ชนิด Variable Force Solenoid (VFS) ควบคุมด้วยระบบอิเลคทรอนิคส์
โดยทั้ง 3 รุ่นนี้ทาง สาธิต เตชะลาภอำนวย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ยนตรกิจเกียมอเตอร์ จำกัด บอกว่า ในรุ่น GRAND CARNIVAL จะเป็นตัวหลักของผลิตภัณฑ์รถยนต์จากเกาหลี โดยคาดว่า จะสามารถทำยอดขายได้ราว 400 คันต่อปี หรือเดือนละ 30-40 คัน ส่วน PICANTO และ RIO นั้น จะไม่ทำตลาดอย่าจริงจัง เนื่องจากเป็นรถนำเข้า ยังไม่มีไลน์ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับรถคอมแพ็กต์ จากญี่ปุ่นได้
อย่างไรก็ตามแม้ยนตรกิจจะไม่เน้นการทำตลาดรถยนต์ 2 รุ่นหลัง แต่เชื่อว่า หากทั้ง 2 รุ่นสามารถสร้างกระแสได้ หรือเกิดความต้องการในตลาดเมืองไทยขึ้นมา ทั้ง PICANTO และ RIO ก็อาจจะกลายเป็นรถธงให้กับเกีย ในเมืองไทยได้ โดยเฉพาะรุ่น PICANTO ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กและเน้นความประหยัดน้ำมัน และยังเป็นรุ่นที่ยังไม่มีคู่แข่งในตลาด คาดว่ารถรุ่นนี้จะมีราคาอยู่ที่ประมาณคันละ 600,000 บาทเศษ
นอกจากนี้ทั้ง PICANTO และ RIO จะเป็นการพิสูจน์กระแสรถยนต์นั่งจากเกาหลีใต้อีกครั้งว่าจะสามารถฝ่าขวากหนาม และก้าวสู่แบรนด์รถยนต์ชั้นนำในเมืองไทยได้มากน้อยเพียงใด ท่ามกลางกระแสกิมจิ ฟีเวอร์ในเมืองไทยเวลานี้
|