ท็อปส์ รีแบรนดิ้ง พร้อมเปิดตัวหน่วยจรยุทธ์ ท็อปส์ เดลี่ ลงุทน 3-7 ล้านบาท ใช้พื้นที่ 300 ตารางเมตร รุกตลาดชุมชนเปิดศึกปะทะโลตัส เอ็กซ์เพรส ประเดิมสาขาแรกที่อ่างทอง ก่อนขยายสาขาอื่นๆต่อไป
ท็อปส์ ประกาศรีแบรนดิ้งเพื่อสร้างโพสิชันนิ่งที่ชัดเจนให้กับรูปแบบสาขาต่างๆของท็อปส์ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาท็อปส์มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างรายได้เพื่อให้บริษัทมีกำไรเพราะนับแต่เปิดกิจการมาบริษัทยังไม่เคยมีผลกำไรเลย อย่างไรก็ดีในปีที่ผ่านมาท็อปส์ก็ประสบความสำเร็จด้วยการสร้างกำไรเป็นปีแรก โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี 500 ล้านบาท ยอดขายที่เติบโตกว่า 24% เป็นผลมาจากการขยายสาขาเพิ่ม 15 แห่งซึ่งสาขาใหม่เหล่านี้สามารถทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 4% ของรายได้ทั้งหมด รวมถึงการปรับโฉมมาร์เก็ตเพลสที่ชิดลมให้เป็น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ซึ่งทำให้สาขามีรายได้สูงขึ้น 20% นอกจากนี้บริษัทยังสามารถลดต้นทุนด้านต่างๆได้ถึง 6% เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าขนส่งซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น
การรีแบรนดิ้งในครั้งนี้ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหารท็อปส์ ได้แบ่งรูปแบบสาขาออกเป็น 4 แบบคือ เซ็นทรัลฟู้ดส์ ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์ และ ท็อปส์ เดลี่
"4 โมเดลธุรกิจนี้จะเป็นครอบครัวซูเปอร์มาร์เก็ต ครอบครัวร้านอาหาร ซึ่งเราแบ่งเซ็กเมนต์ตามความชอบของผู้บริโภค ใครต้องการบริโภคสินค้านำเข้าก็ไปที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ หรือ ท็อปส์ มาร์เก็ต ส่วนใครต้องการซื้อหาของกินของใช้ประจำวันก็ไปท็อปส์ ซูเปอร์ ส่วนใครที่ต้องการความสะดวก ซื้อสินค้าน้อยชิ้น หรือประเภทรีฟิลก็ไปที่ ท็อปส์ เดลี่ เราสร้างโซลูชั่นครบวงจรเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า เราสามารถวิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่าคนอื่นเพราะเรามีการเก็บข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรสปอร์ตรีวอร์ดการ์ด" เอียน ไพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กล่าว
เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ เป็นรูปแบบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง สนใจในเรื่องรสชาติและคุณภาพของอาหาร โดยในปีนี้มีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 1 สาขาคือที่เซ็นทรัลเวิลด์ ส่วน ท็อปส์ มาร์เก็ต เป็นรูปแบบที่มาแทนที่มาร์เก็ตเพลส จับตลาดระดับบนเช่นกัน โดยมีจุดขายในเรื่องของสินค้าที่หลากหลายทั้งในประเทศและนำเข้า สำหรับ ท็อปส์ ซูเปอร์ จะจับตลาดระดับกลางที่สนใจในเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา ซื้อหาสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และสุดท้ายเป็น ท็อปส์ เดลี่ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของท็อปส์ ใช้พื้นที่เพียง 300 ตารางเมตร ลงทุนสาขาละ 3-7 ล้านบาท จับตลาดระดับกลาง เน้นความสะดวก ทำเลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ลูกค้ามีพฤติกรรมการซื้อทีละน้อยชิ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถขยายสาขาท็อปส์เดลี่ได้ 5 แห่งในปีนี้ และจะเพิ่มอีก 15 แห่งในปีหน้า
ปัจจุบันท็อปส์มีสาขาทั้งหมด 88 สาขา เป็นท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต 75 แห่ง มาร์เก็ตเพลส 12 แห่ง และ ซิตี้ มาร์เก็ต 1 แห่งซึ่งในปีนี้จะเปลี่ยนโฉมเป็น ท็อปส์ มาร์เก็ต
การแข่งขันในธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนหน้านี้ต้องประสบปัญหาจากนโยบายราคาต่ำของบรรดาดิสเคาน์สโตร์ทั้ง โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ ซึ่งล้วนแต่มีแผนกซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่และมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ทำให้ท็อปส์ ต้องมีการปรับตัวทั้งในเรื่องของการทำบัตรสปอร์ตรีวอร์ดการ์ดเพื่อศึกษาความต้องการของผู้บริโภคซึ่งได้มีการต่อยอดเป็นการทำการตลาดแบบ 1:1 คือสมาชิกจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษตามพฤติกรรมการใช้จ่ายซึ่งแต่ละคนจะมีโปรโมชั่นไม่เหมือนกันเพราะมีพฤติกรรมการชอปปิ้งที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ ท็อปส์ ยังพยายามสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อลดจุดด้อยในเรื่องของราคาด้วยการทำสินค้าที่เป็นเอ็กคลูซีพมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ หรือสินค้านำเข้าที่จำหน่ายเฉพาะในเครือเซ็นทรัล ทำให้ท็อปส์มีจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง แต่ทั้งนี้ท็อปส์ก็ยังมีการทำโปรโมชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นการลดราคาสินค้า การซื้อ 1 แถม 1 สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกว่าสินค้าของท็อปส์ แพงเหมือนในอดีต
แม้ท็อปส์จะหาจุดแข็งมาแก้เกมราคาของคู่แข่งได้ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันของคู่แข่งที่พยายามลดขนาดตัวเองเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็เป็นการเลี่ยงกฎหมายผังเมืองที่ระบุว่าธุรกิจค้าปลีกที่มีพื้นที่เกิน 1,000 ตารางเมตรจะต้องตั้งห่างเขตเทศบาลไม่น้อยกว่า 15 กิโลเมตร ส่วนอาคารที่มีพื้นที่ 300-1,000 ตารางเมตรยังสามารถตั้งในเมืองได้
โลตัส นอกจากจะเป็นผู้นำด้านราคาแล้วยังถือว่าเป็นผู้นำในเรื่องของสาขาด้วย ปัจจุบันโลตัสมีสาขาที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตซึ่งใช้พื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตรไม่น้อยกว่า 55 สาขา ร้านคุ้มค่าซึ่งย่อขนาดเหลือ 3,000 ตารางเมตรมี 15 สาขา ส่วนตลาดโลตัสซึ่งใช้พื้นที่อย่างน้อย 700 ตารางเมตร มี 11 สาขา ส่วนโลตัสเอ็กซ์เพรสซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กใช้พื้นที่ 300 ตารางเมตรมี 140 สาขา โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสาขาเอ็กซ์เพรสอีก 100 สาขาในปีนี้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎหมายผังเมืองทำให้บริษัทต้องเร่งขยายธุรกิจที่มีขนาดเล็ก ทั้งนี้รูปแบบสาขาที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 1 สาขา ทำยอดขายได้เท่ากับโลตัส เอ็กซ์เพรส 20 สาขารวมกัน ดังนั้นหากจะมุ่งเน้นร้านเอ็กซ์เพรส ก็ต้องขยายสาขาให้มากด้วย
การที่ท็อปส์ เดลี่ จะสามารถช่วงชิงตลาดจากโลตัส เอ็กซ์เพรสได้หรือไม่ นอกจากจะมีสินค้าที่ครบครันแล้วการเร่งขยายสาขาเพื่อให้ครอบคลุมตลาดก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะตลาดของทั้งเดลี่และเอ็กซ์เพรสคือผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย ใกล้บ้าน เป้าของท็อปส์ เดลี่ ที่วางไว้ 20 สาขา ในช่วง 2 ปีนี้คงยังไม่เพียงพอที่จะชิงตลาดจากเอ็กซ์เพรสได้ คงต้องดูกันยาว แต่ท็อปส์ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ เดลี่ มากไปกว่ารูปแบบสาขาอื่นๆ เนื่องจากรูปแบบสาขาที่เหลือไม่ได้ระบุพื้นที่สาขาไว้อย่างชัดเจน แต่เป็นเพียงคอนเซ็ปต์ของร้านซึ่งอาจมีทั้งสาขาใหญ่บ้างเล็กบ้างคละกันไป อย่างสาขาในห้างก็อาจใช้พื้นที่ประมาณ 1,500-5,000 ตารางเมตร ส่วนสาขาสแตนอะโลนใช้พื้นที่ประมาณ 800-4,000 ตารางเมตร ซึ่งเล็กพอที่จะแทรกตัวเข้าสู่ชุมชนได้เช่นกัน
ท็อปส์ใช้งบกวา 800 ล้านบาทในการขยายสาขาใหม่ปรับโฉมสาขาเก่าให้เป็นแบบใหม่ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลา 2-3 ปีจึงจะสามารถปรับโฉมได้ทั้งหมด ซึ่งภายหลังการปรับโฉมเสร็จสิ้นแล้วท็อปส์ตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ 30,000 ล้านบาทในปี 2553 นอกจากนี้ยังมีการปรับลดสินค้ากว่า 400 รายการลง 5-10% เป็นการถาวร
|