|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักวิชาการแฉ 5 ปี “ทักษิโณมิกส์”ทำประชาระทม สร้างความวิบัติให้ประเทศอีกนาน ขณะที่ ทีดีอาร์ไอ แนะปฏิรูปการเมืองต้องหาจุดลงตัวระหว่างการเมืองกับธุรกิจ อัด“ทักษิณ” ผ่านจุดความน่าเชื่อถือแล้ว เสนอตั้งคนกลางพระราชทานแก้รัฐธรรมนูญ อดีตคนเดือนตุลาฯ ฟันธงหลัง 2 เม.ย. ไม่เกิน 2 เดือน ทักษิณเผ่นแน่
วานนี้ (29 มีนาคม) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้มีการจัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง วิกฤตการเมือง-วิกฤตเลือกตั้ง “Post Thaksin :ทางรอดประเทศไทย ? โดยมี นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) นายประสาร มฤคพิทักษ์ เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นายสมบูรณ์ ศิริประชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายสมบูรณ์ ศิริประชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรได้ทำการเสนอนโยบายในเรื่องเศรษฐกิจจนเกิดระบบทักษิโนมิกส์ขึ้น โดยระบบนี้แบ่งเป็นสองแกนหลักคือ 1.การมองไปข้างหน้า โดยเน้นเรืองกลยุทธ์ด้านการค้าแบบเสรี และ2.เน้นหนักในการพัฒนาชนบทที่ชนชั้นรากหญ้าจนเป็นที่มาของนโยบายประชานิยมเพื่อสร้างความจูงใจในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน
ทั้งนี้ นโยบายประชานิยมแบบทักษิณเน้นในเรื่องรายจ่ายมากกว่าการสร้างรายได้ ถึงแม้ประชานิยมสร้างความได้ผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างดียิ่ง แต่เรามีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากที่สุด เพรากลุ่มที่รวยที่สุดกับกลุ่มที่จนที่สุดในประวัติศาสตร์มีประมาณ 9-13 เท่า ตัวเลขล่าสุดที่ดูจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2547 ตอนนี้ช่องว่างอยู่ที่ประมาณ 8 เท่า ในมาตรฐานของสากลไม่ควรจะต่างเกิน 4 เท่า
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าเศรษฐกิจที่โตขึ้นจะสามารถช่วยลดปัญหาคนยากจน โดยนโยบายประชานิยมได้ผลเป็นอย่างสำหรับกลุ่มคนที่จนที่สุดคือ มีตัวเลขถึง 6 ล้านคน และโดนใจกลุ่มคนที่ใกล้จะจนที่มีตัวเลขกว่า 20 ล้านคน ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นไปได้ว่าจะได้เสียงจากกลุ่มคนเหล่านี้ที่นิยมนโยบายประชานิยม โดยนโยบายที่จะมีผลต่อการเลือกตั้งมากคือ กองทุนหมู่บ้าน โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และการพักชำระหนี้เกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่เน้นรายจ่ายทั้งสิ้น อย่างการพักชำระหนี้ควรทำหรือไม่ โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์ไม่ควรทำ ถ้าคุณใช้เงินสิ้นเปลืองวินัยการเงินก็จะเสียไป
ส่วนกรณีธนาคารคนจนเราไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ ฉะนั้นในแง่การคลัง จึงเป็นการเน้นที่ช่วยคนจน โดยใช้วินัยการคลังที่อ่อนแอ เป็นนโยบายที่ต้องการเอาใจประชาชนรากหญ้ามากกว่าที่จะให้เขามีวินัย
“ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนายกฯ แล้วนโยบายประชานิยมยังคงอยู่ทำไมนักเศรษฐศาสตร์จึงกังวลมาก เพราะเป็นลักษณะการคลังแบบกึ่งการคลังที่ก่อให้เกิดความไม่โปร่งใส เงินที่จะมาทำประชานิยมจะมาจากการทำงบกลางประจำปีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นการทำงบประมาณที่ขัดหลักที่ดีของการจัดการงบประมาณแผ่นดิน ในทางกลับกันถ้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่อยู่แล้วคนอื่นมาบริหารประเทศ ยังเชื่อว่าประชาชนก็ยังคงเรียกร้องให้มีนโยบายประชานิยมต่อไป เพราะสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำไว้ถือเป็นมรดกที่เปลี่ยนกลับไม่ได้ เช่น โครงการ 30 บาท กองทุนหมู่บ้านจะยกเลิกก็ไม่ได้ ถ้ายกเลิกจะมีการประท้วงใหญ่ และจะต้องหาเหตุผลที่ดีมาตอบให้ได้ เมื่อมองมรดกในแง่ลบคงไม่มีทางแก้ไขได้ และเคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศอาเจนตินา และประเทศเม็กซิโก”นายสมบูรณ์ กล่าว
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า แนวคิดการพัฒนาของทักษิณจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจเสรีแบบผิด เช่น การทำเอฟทีเอกับประเทศสหรัฐอเมริการที่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการเปิดประเทศและทำให้เราเสียเปรียบในหลายเรื่อง เช่น การลงทุนและภาคบริการ การทำเอฟทีเอเหมือนเป็นกับดัก และคุก Preferential Trade Arrangements (PTA) เพราะมีสัญญามาบีบบังคับ ถ้าจะยกเลิกก็ทำได้ยาก ทั้งยังมีการกีดกันทางการค้าและการบังคับการใช้ทรัพยากรภายในประเทศ หากยังดำเนินต่อไปจะส่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ Spaghetti Effect ที่ทำให้ระบบทุกระบบยุ่งเหยิงผลกระทบต่อรัฐบาลหน้านอนาคตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลทักษิณพบว่ามีรูปธรรมที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านๆ มา และนโยบายค่อนข้างจะกล้าหาญมาก ซึ่งกล่าวได้เลยว่าเป็นรูปธรรมมากกว่าที่จะเป็นนามธรรมในภาพกว้างๆ ประกอบนโยบายของรัฐบาลค่อนข้างมีประสิทธิผล เพราะมีการทำจริง จ่ายเงินลงไปจริง แต่ประสิทธิภาพต้องใส่เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ เอาไว้ก่อน ปัจจุบันสิ่งที่เป็นห่วงมาก คือความแตกแยกของสังคม เพราะไม่ว่าในระยะสั้นใครจะเป็นรัฐบาลในสังคมจะมีการฝั่งรากลึกอยู่ ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายต่อไปของรัฐบาลต่อไปยากที่จะบริหารงาน
“หากรัฐบาลทักษิณได้บริหารประเทศต่อไป การบริหารนโยบายต่างๆ หลายเรื่องจะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะกระแสตอนนี้ของประชาชนต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณโดยสิ้นเชิง แต่ประเทศไทยจะมีปัญหาในระยะยาว ธุรกิจไฟฟ้าจะเอาเงินที่ไหนในการที่จะขยายกิจการ อย่างไรก็ดีถ้าสังเกตกระแสต่อต้านทักษิณจะแทรกไปด้วยการต่อต้าน Gobalization , Pivatizationและสร้างกระแส Nationalism (ชาตินิยม) คือไม่เอาต่างชาติก็เท่ากับว่าไม่เอาทุนต่างชาติ ซึ่งเราจะพัฒนาประเทศโดยทุนของเราเองไม่ได้เพราะเรามีทุนไม่พอ อย่าลืมว่าการเข้ามาของทุนจะเข้ามาพร้อกับเทคโนโลยีด้วยดังนั้นเมื่อไม่เอาทุนต่างชาติ เทคโนโลยีที่ใช้ก็คือภูมิปัญญาของประเทศเราเท่านั้น ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าดูถูกภูมิปัญญาของเรา และอย่างไรเสียมุมที่น่าเป็นห่วงคือที่สังคมต่อต้านคนๆ หนึ่งแล้วไปต่อต้านทุนนิยม โลกทั้งโลกมีอยู่ระบบเดียวยังไงเราก็ต้องเดินไปในระบบนี้” นายบรรยงกล่าว
นายบรรยง กล่าวว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การที่จะให้เศรษฐกิจเติบโต 6-8% คงหวังยาก เพราะนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่สำคัญมาก หรือกระแสต่อต้าน Gobalization จะทำให้การลงทุนหยุดชะงัก ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลใหม่ก็จะต้องมาต่อสู้กับกระแสต่อต้านทุนนิยม อยากให้สังคมแยกแยะเรื่องต่างๆ ให้ถูกไม่มีคนที่ดีที่สุด และคนที่เลวที่สุด แต่กระแสที่เกิดขึ้นอยู่นั้นประเทศคงไม่ถอยหลังแต่ว่าเจริญช้า” นายบรรยงค์กล่าว
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ไม่รู้ว่าโพสต์ทักษิณจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยไม่อาจจะอยู่ยืนยงได้ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพราะประวัติศาสตร์เมืองไทยไม่มีพรรคการเมืองไหนที่อยู่ได้ตลอดไป และถึงแม้ประเทศไทยจะไม่มีพรรคไทยรักไทยประเทศก็สามารถที่อยู่ต่อไปได้ หรือเราจะมีพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่มีก็ไม่ได้ส่งผลผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่มีเรื่องที่ลึกกว่านั้นคือระบบประชานิยม และโดยส่วนตัวเชื่อว่าในที่สุดก็ไม่อยู่แบบยั่งยืนจากปัจจัยในเรื่องของการเงิน ซึ่งประชานิยมหลังจากระบอบทักษิณจะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปกล่าวคือจะมีการเงื่อนไขในการเข้าถึงประชานิยม
“เรามีคุณทักษิณมีพรรคไทยรักไทยประเทศไทยมีความเสียหายจริงหรือไม่ ผมคิดว่ามีความเสียหาย แต่ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณยังกลับมาเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง 2 เมษายน อำนาจการบริหารของ พ.ต.ท.ทักษิณจะหมดไป เพราะไม่มีใครยอมรับอำนาจบริหารประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ และจะมีต่อต้านตลอดเวลา และที่สำคัญคือ พ.ต.ท.ทักษิณเลยจุดที่จะพูดให้คนเชื่อถือแล้ว เพราะฉะนั้นตราบใดที่พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ก็มีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะความเชื่อถือไม่มีแล้ว สังเกตจากการนำเสนอรัฐบาลแห่งชาติที่ไม่ได้รับการตอบรับจากภาคสังคม และถึงแม้พ.ต.ท.ทักษิณจะมีเจตนาที่ดีในทำนโยบายต่างๆเช่น เอฟทีเอด้วยใจจริงแต่พ.ต.ท.ทักษิณ นั่งอยู่หัวโต๊ะ ทุกคนก็ต้องเชื่อว่าต้องมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่เอื้อประโยชน์ให้คนโน้นคนนี้อยู่ดี” นายสมชัยกล่าว
ผู้อำนวยการวิจัยทีดีอาร์ไอ กล่าวอีกว่า ทางออกกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่เชื่อตอนนี้คงไม่มี เพราะคนไม่เชื่อแล้ว แต่พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะสร้างกลไก เช่น ตั้งคนกลางมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขั้นตอนนั้นสำคัญมากว่าจะเอาใครมาเป็นคนนำ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญจะถูกจับตามองมีเครื่องหมายคำถามตลอดเวลา ต่อให้คนทำทำอย่างจริงใจ แต่เนื่องจากไม่เชื่อใจคนทำแล้ว ทุกอย่างก็ไปหมด แต่ถ้าใจกล้าพอคือให้หลายๆ คนช่วยกันคัดเลือก แล้วมีกระบวนการคัดเลือกจากภาคส่วนต่างๆ แต่วิธีที่ง่ายและดีที่สุดคือ ให้รัฐสภาเข้ามาหรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคัดเลือก เพราะจะเป็นการเริ่มต้นกระบวนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่มีคนเชื่อถือ อย่างน้อยคนมีความหวังมีแสงสว่างที่ปลายทาง เพราะคนสังคมยังเชื่อถือเรื่องการปฏิรูปการเมือง และที่สำคัญระหว่างการปฎิรูปการเมืองคือการปฏิรูปสื่อ เพื่อให้แน่ใจว่าการปิดกั้นข่าวสารจะไม่เกิดขึ้น
ขณะที่นายประสาร มฤคพิทักษ์ เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่าหลังเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.นี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่น่าจะอยู่ได้เกิน 2 เดือน
“ไม่มีสมัยใดที่คุณทักษิณจะตกต่ำขนาดนี้ เพราะขนาดคนที่เคยรักก็ยังเกลียดคุณทักษิณ ตอนนี้ ผมเห็นภาพว่า 2 เมษา จะมีการโกงเลือกตั้งอย่างมหาศาล โดยใช้ตราประทับโกงการเลือกตั้ง และยังได้ยินมาว่ามีการพิมพ์บัตรเพิ่มและใช้เงินอย่างมหาศาล เพราะมีความต้องการให้ 2 เม.ย.มาฟอกขาวให้กับคุณทักษิณ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้บอกได้เลยว่าส.ส.ไม่ครบและเปิดประชุมสภาไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นการตะแบงลากตั้ง และการได้ 20% ในเขตภาคใต้ยากมาก เพราะเขาไม่เอาคุณทักษิณแล้วและการเลือกตั้งซ่อมภายใน 30 วันก็ไม่สามารถจะทำได้ในพื้นที่นี้”นายประสารกล่าว
|
|
|
|
|