"โอ๊ย ท่านบ่นทุกวันเรื่องจะวางมือ แต่จริง ๆ แล้วคุณพ่ออยู่เฉย ๆ
ไม่ได้หรอก แม้แต่เสาร์-อาทิตย์ก็จะต้องออกไปดูที่ดิน หรือไม่ก็ไปดูอาร์ตเมนต์ที่สร้างอยู่
บางครั้งก็ขับรถไปดูโรงเบียร์ เดี๋ยวก็มาระยอง" วรางค์ ลูกสาวคนที่
6 ของวานิช เล่าถึงกิจกรรมยามนี้ของคุณพ่อให้ฟัง
ด้วยความที่เป็นคนชอบทำงานนี่เอง ครึ่งวันบ่ายของเกือบทุกวัน วานิชจึงเข้าไปนั่งที่ตึกไทยประกัน
ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทในเครือมากมาย เพื่อคอยให้คำปรึกษาและให้กำลังใจแก่ผู้บริหารมืออาชีพที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่ม
ทั้ง ๆ ที่ตามวาระแล้ว วานิชจะต้องเกษียณอายุจากตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการของบริษัท
ไทยประกันชีวิตไปเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีการต่ออายุไปทีละปีจนถึงขณะนี้
นอกจากที่ไทยประกันชีวิตแล้ว ปัจจุบันวานิชยังมีตำแหน่งอยู่ในบริษัทในเครือไทยประกันชีวิตอื่น
ๆ อีก14 บริษัท คือ เป็นประธานกรรมการที่ บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ ธนทรัพย์,
โรงแรมริมเพ ระยอง และโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท เป็นรองประธานกรรมการ บริษัท ไทยเอเชีย
แปซิฟิก บริวเวอรี่ เป็นกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไพบูลย์ประกันภัย เป็นกรรมการบริหารในบริษัท
สุรามหาราษฎร และสุราทิพย์ อีก 7 บริษัทที่เหลือเขาเป็นที่ปรึกษา 4 บริษัท
และเป็นกรรมการ 3 บริษัท
"จริง ๆ แล้วคุณวานิชก็อยากจะเชิญผู้มีชื่อเสียงมานั่งเป็นประธานกรรมการที่ไทยประกันชีวิตแทนตัวเอง
แต่เราก็สำเหนียกในตัวเอง เพราะรู้ดีว่าภาพพจน์ของการเป็นประธานบริษัทประกันชีวิตนั้นยังสู้การเป็นประธานบริษัทไฟแนนซ์ไม่ได้
ไม่ต้องไปเทียบกับการเป็นประธานแบงก์ ต้องยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้ ดังนั้นการจะไปเชิญใครมาเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะแฮปปี้หรือเปล่า
แล้วธุรกิจประกันไม่ใช่ว่าจะผ่านอะไรมามาก ๆ แล้วจะทำได้ง่าย ๆ " คนใกล้ชิดกับตระกูลไชยวรรณเล่าให้ฟัง
ถึงสาเหตุที่วานิชยังคงนั่งเป็นประธานที่ไทยประกันชีวิตจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าวานิชจะเป็นคนชอบทำงานและชอบเจอลูกน้อง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาพยายามเลี่ยงบ่อย
ๆ คือ การออกสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนนับเป็นข้อห้ามที่วานิช
ยึดถืออย่างเคร่งครัด
"อันนี้คงแล้วแต่สไตล์คน สำหรับคุณพ่อท่านชอบโลว์โปรไฟล์หน่อย จำได้สมัยก่อนตอนที่มีข่าวแบงก์แหลมทอง
ยังอ่านเจอในหนังสือว่าคุณวานิช ไชยวรรณหนีนักข่าว ไม่ยอมให้สัมภาษณ์รู้สึกจะเป็นผู้จัดการนี่แหละ"
วรางค์เล่าให้ฟังอย่างขำ ๆ
จึงไม่น่าแปลกอะไรที่บางครั้งเมื่อวานิช ไชยวรรณจะเข้าตึกยามวิกาล หรือไปโรงเบียร์ตอนดึก
ๆ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า จะถูกพนักงานรักษาความขอให้แลกบัตร เพราะความไม่คุ้นหน้า
และวานิชก็ให้ความร่วมมืออย่างดีเสียด้วย
ถึงจะมีฐานะอยู่ในระดับมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองไทยแต่คนใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่า
วานิชเป็นคนเรียบง่ายและใช้ชีวิตสบาย ๆ
"เขาทานข้าวได้หมดตั้งแต่โรงแรมหรูหราจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดา แกบอกว่าเราทำธุรกิจประกันชีวิต
ซึ่งเป็นธุรกิจติดดินเราจึงต้องเข้าใจชีวิต"
สำหรับตัววานิชเองนั้น เขาได้เล่าถึงการใช้ชีวิตยามนี้ให้นิตยสาร ฮู อิส
ฮู ฉบับเดือนมกราคม 2539 ฟังว่า ขณะนี้เขาได้วางมือจากธุรกิจตั้งแต่เมื่อ
60 ปี หรือประมาณ 3-4 ปีก่อนโดยมอบหมายให้ไชย ไชยวรรณ ลูกชายคนโตเป็นโต้โผใหญ่ในการบริหารธุรกิจต่อ
แม้จะดูขัดแย้งกับคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดที่ยืนยันว่าเขายังไม่วางมือ เพราะทุกวันนี้เขายังคงเป็นผู้กำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินธุรกิจของไทยประกันอยู่
เพียงแต่ว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานประจำวันเท่านั้น
"แต่ถ้ามองในสายตาของวานิชแล้ว ก็อาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะเรียกยุคการทำงานของเขาตอนนี้ว่าเป็นการวางมือ
เมื่อเทียบกับภาระอันหนักอึ้งที่เขาต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการมองหาช่องทางการขยายธุรกิจใหม่
ๆ ให้กับกลุ่มไทยประกันมาตลอด 40 ปีแห่งชีวิตการทำงาน" คนใกล้ชิดให้ความเห็น
วานิชเล่าถึงการใช้ชีวิตของเขาในช่วงนี้ว่า เขาชอบไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง
ต่างประเทศบ้าง ที่ชอบไปคือฮ่องกง
"ไปเดินเที่ยว ไปกิน มันก็สนุกดี"
สำหรับกิจกรรมยามค่ำที่เขาชื่นชอบก็คือ การนั่งดื่มเหล้าฟังเพลงกับคนที่รู้ใจ
เพียงแต่ติว่าสถานที่เที่ยวกลางคืนสมัยนี้ดีสู้แต่ก่อนไม่ได้ โดยเฉพาะนักร้องสมัยก่อนที่จะหน้าตาสวยและร้องเพลงดีกว่านักร้องสมัยนี้
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องช่องว่างระหว่างวัยหรือเปล่า
กิจกรรมอีกอย่างที่วานิชให้ความสนใจคือ การเล่นพระโดยเฉพาะพระที่ว่าดี
ๆ ดัง ๆ เขามีเกือบหมด อย่างพระเครื่องลำพูน, พระซุ้มกอ กำแพงเพชร, พระนางพญา
พิษณุโลก และพระผง สุพรรณบุรี ยังไม่นับพระอีกมากมายที่เก็บไว้ในห้องพระขนาดใหญ่ที่บ้าน
โดยพระเครื่องดัง ๆ ที่ราคาแพงมาก ๆ นั้น เขาจะนิมนต์ไปเก็บไว้ในห้องเซฟที่ธนาคาร
เหตุผลที่เขาหันมาสะสมพระ และห้อยพระติดตัว โดยองค์ที่ต้องห้อยประจำคือ
พระสมเด็จวัดระฆังและพระราหูของเก่าของนครปฐม เพราะเป็นความชอบและรู้สึกอบอุ่น
ชีวิตของวานิช ไชยวรรณวันนี้ นับว่าน่าอิจฉาไม่น้อย