บสท.หันแนวระบายเอ็นพีเอเจาะหน่วยงานรัฐ นำร่องขายขาดที่ดินให้พอช.สร้างบ้านมั่นคงซอยลาดพร้าว 101 พร้อมขนที่ดินเปล่าเกือบ 100 รายการ กว่า 80 ไร่ทั่วประเทศให้พอช.เลือก ด้านผู้อำนวยพอช.ระบุเตรียมรีไฟแนนซ์หนี้ส่วนของพอช.ให้แก่ธอส.วงเงิน 200 ล้านบาท จากยอดที่กองทุนพอช.ปล่อยไปแล้ว 800 ล้านบาท หวั่นไม่เกิน 3 เดือน ธอส.เล็งคิดดอกเบี้ยลูกหนี้บ้านมั่นคงล็อตใหม่
โครงการบ้านมั่นคง ถือเป็นหนึ่งในโครงการสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนที่ยากจนหรือที่อยู่ในสลัมได้มีที่อยู่อาศัยอย่างถาวร ภายใต้การกำกับดูแลของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.) นอกเหนือจากโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มีการเคหะแห่งชาติ(กคช.)เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ ชุมชนที่มีคนยากจนอาศัยอยู่ทั่วประเทศมีมากถึง 5,000 ชุมชน หรือกว่า 2 ล้านคนยังต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นหลักประกันในชีวิตในระยะยาวแทนการเช่าอยู่ แต่ประเด็นเรื่องการจัดหาที่ดิน กลายเป็นปัญหาหนักของคนจนที่ไม่มีกำลังเงินในการจัดหามาได้
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.)เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือกับทางพอช.ว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในการสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง โดยบสท.จะเป็นผู้จัดหาข้อมูลของทรัพย์สินบสท.ในด้านทำเลที่ตั้ง ขนาดของที่ดินและข้อมูลทางกายภาพอื่นๆ ที่ชุมชนสนใจเพื่อให้พอช.ใช้ประกอบในการจัดทำโครงการบ้านมั่นคง โดยได้รับประโยชน์ยกเว้นค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการโอน ตามกฎหมายเมื่อซื้อทรัพย์สินของบสท.
ทั้งนี้ ทางพอช.ได้ตัดสินใจซื้อที่ดินโครงการแรกบริเวณซอยลาดพร้าว 101 จำนวน 11 ไร่ 3 งาน ราคาประมาณ 32 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโครงการบ้านมั่นคง โดยได้ชำระเงินมัดจำ 10% ของราคาซื้อขายพร้อมทำสัญญา จากนั้นจะชำระเงินส่วนที่เหลือพร้อมรับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีทรัพย์สินที่พอช.ให้ความสนใจจากข้อมูลที่บสท.เสนอไปเพิ่มเติมอีก 2 รายการ คือ บริเวณวัดคู้บอน เขตบางเขนและถนนเพชรเกษม 48 ฝั่งธนบุรี พร้อมกันนี้ บสท.ได้คัดเลือกทรัพย์สินให้พอช.พิจารณาแล้วอีก 93 รายการทั่วประเทศ ได้แก่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 33 รายการ เนื้อที่ 320 ไร่ ,ภาคเหนือ 15 รายการ เนื้อที่ 70 ไร่ ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13 รายการ เนื้อที่ 175 ไร่ , ภาคกลาง 21 รายการ 155 ไร่ และภาคใต้ 11 รายการ 90 ไร่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีประชาชนซักถามถึงประเด็นราคาขายที่ดินแปลงถนนเพชรเกษมสูงเกินไป และหากเทียบกับที่ดินข้างเคียงของบสท.ได้เสนอราคาขายที่ต่ำกว่า อาจทำให้ชาวบ้านไม่มีกำลังใจในการผ่อน หรือไม่อาจให้บสท.ขายที่ดินบางแปลงเพื่อทำถนนเข้าและออกนั้น นายสมเจตน์อธิบายว่า ทางบสท.ไม่เคยคิดค้ากำไร แต่เนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในพอร์ตนั้น เกิดจากกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา และมีสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของทรัพย์สินนั้น ที่บสท.จะต้องบริหารให้เกิดความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ทางบสท.จะนำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อไป
ด้านนางสาว สมสุข บุญญะบัญชา ผู้อำนวยการพอช.กล่าวถึงการสนับสนุนประชาชนที่จะเข้ามาอยู่ในโครงการบ้านมั่นคงว่า ทางพอช.จะสนับสนุนทางด้านสินเชื่อ ระบบการบริหารจัดการทางบัญชี และความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งประชาชนที่อยู่ในโครงการบ้านมั่นคงส่วนใหญ่ จะมีรายได้ไม่สูง และความสม่ำเสมอของรายได้และค่าใช้จ่ายต่างๆจะต้องมีส่วนสนับสนุนต่อการผ่อนชำระบ้านมั่นคง อย่างเช่น การซื้อที่ดินกับบสท.ซอยลาดพร้าว 101 แม้จะซื้อในราคาที่สูง แต่ถือเป็นทำเลที่อยู่ไม่ไกลจากชุมชนเดิม และยังอยู่ไม่ไกลจากแหล่งงานของประชาชนที่ย้ายมาอยู่ในที่ดินผืนใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 290 ครัวเรือน
ทั้งนี้ การแบ่งสรรพื้นที่การก่อสร้างบ้านมั่นคง เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 10-12 ตารางวา โดยทางพอช.จะให้นำเงินกองทุนของพอช.ปล่อยสินเชื่อให้แก่สหกรณ์ในชุมชนใหม่วงเงิน 28 ล้านบาทเศษ ผ่อนชำระคืน 15 ปี อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยดอกเบี้ยให้อีก 2% โดยวงเงินกู้แต่ละครัวเรือนสำหรับบ้านมั่นคงในส่วนนี้ไม่น่าจะเกิน 3 แสนบาท เพราะจะมีค่าที่ดินและค่าก่อสร้าง คาดว่าอัตราการผ่อนต่อเดือนจะประมาณ 2,000-2,500 บาท แม้จะเป็นอัตราการผ่อนชำระที่สูง แต่การไปเช่าอพาร์ตเมนต์เฉลี่ยแล้วจะตกเดือนละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งจะเกิดส่วนต่างของการประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000-1,500 บาทต่อเดือน
ซึ่งที่ผ่านมาสนับสนุนต่อครัวเรือนประมาณ 20,000 บาท ของการผ่อน 15 ปี อย่างไรก็ตาม ในการปล่อยสินเชื่อของพอช.ให้แก่ชุมชน ทางสหกรณ์จะมีการคิดส่วนต่างที่จะปล่อยกู้ให้แก่ชุมชนเพิ่มอีก 3% เพราะต้องการนำรายได้บางส่วนมาพยุงและดูแลชุมชน รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการในชุมชนมากกว่าเรื่องผลประโยชน์
พอช.รีไฟแนนซ์หนี้บ้านมั่นคง ส่งธอส.ล็อตแรก800ล้านบาท
นางสาวสมสุขกล่าวว่า ถึงแม้ทางพอช.จะมีเงินกองทุนในการปล่อยสินเชื่อให้ชุมชนในโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 2,800-2,900 ล้านบาท แต่เงินกองทุนดังกล่าวเมื่อเทียบกับภาระหน้าที่แล้วอาจจะไม่เพียงพอ ทำให้พอช.ได้เตรียมปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) หนี้ไปให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยที่ผ่านมาพอช.ได้ใช้เงินในกองทุนปล่อยสินเชื่อให้แก่ชุมชนไปแล้ว 800 ล้านบาท โดยจะมีการรีไฟแนนซ์หนี้ก้อนแรกประมาณ 200 ล้านบาทกับธอส. ซึ่งลูกหนี้ที่อยู่ในธอส.จะได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2% ระยะเวลา 15 ปี
" พอช.เจรจากับธอส.มานานเรื่องคิดดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่เราก็เข้าใจในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเฉพาะล็อต 200 ล้านบาทนี้ จะยังคงอยู่ที่ 2% โดยพอช.ได้นำเงินฝากประมาณครึ่งหนึ่งของเงินที่ต้องปล่อยสินเชื่อฝากไว้กับธอส. เพื่อชดเชยภาระดอกเบี้ยขาขึ้น อย่างไรก็ตาม หมดจากล็อตแรกไป คาดว่าไม่เกิน 2-3 เดือน ลูกหนี้ที่ถูกรีไฟแนนซ์หนี้ไปจะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ขยับขึ้น ซึ่งคงต้องมีการเจรจากับธอส.ต่อไป " นางสาวสมสุขกล่าว
สำหรับแผนการก่อสร้างบ้านมั่นคงในปีงบประมาณ 2549 (ก.ย.2548-ต.ค.2549) จะต้องสร้างบ้านมั่นคงให้ได้ 80,000 ครัวเรือน แต่คิดว่าปีงบประมาณนี้ไม่สามารถจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
|