|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลิส-เทลเตรียมแตกไลน์ธุรกิจเพิ่ม สนใจธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า หลังหันมาเปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไนกี้ ระบุเหตุกำไรสุทธิธุรกิจมือถือต่ำ ผู้บริหารยอมรับผลกระทบการเมืองฉุดยอดมือถือเดือนมี.ค.ลด30% ลุยเปิดสาขาเพิ่มเป็น 450 สาขาภายในสิ้นปี
นายอรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS เปิดเผยถึงแนวโน้มในการทำธุรกิจของบริษัทว่า ในอนาคตบริษัทเตรียมที่จะแตกไลน์ไปในธุรกิจอื่นๆมากขึ้น หลังจากที่เมื่อในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ บริษัท บลิสสปอร์ต จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไนกี้ ด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิน 10 ล้านบาท โดยบริษัทบลิส-เทล ถือหุ้นในสัดส่วน 80%
ทั้งนี้เหตุผลที่บริษัทมีความสนใจในธุรกิจเนื่องจากบริษัทมีความสามารถในเรื่องการบริหารการจัดการเกี่ยกวับธุรกิจรายย่อย ทั้งในเรื่องระบบการจัดการ การอบรมพนักงานเป็นต้น
นอกจากนี้หากพิจารณาผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจจะเห็นได้ว่าอัตรากำไรสุทธิในธุรกิจโทรศัพท์มือถือปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไนกี้ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25-50% ซึ่งคาดว่าจะเปิดสาขาแรกได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอย่างน้อย 1 สาขาทุกไตรมาสในช่วงเวลา 5 ปี โดยบริษัทคาดว่าจะคุ้มทุนในระยะเวลาประมาณ 5 ปี
"บริษัทเริ่มมองสินค้าแบรนด์อื่นบ้างแล้ว ซึ่งในอนาคตจะมีการพิจารณาเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัทอื่นๆด้วย บริษัทไม่ได้คาดหวังว่าธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตในเร็ววันแต่ เรามองที่อัตรากำไรที่ค่อนข้างสูงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าลงทุน"นายอรรถวิชญ์กล่าว
นอกจากนี้บริษัทมีความสนใจที่จะเป็นตัวแทนในการจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศจีน โดยอาจจะมีการลักษณะคล้ายกับการเปิดร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์กีฬาที่มีการเปิดบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจ โดยเรื่องดังกล่าวจะต้องรอให้สถานการณ์การเมืองประเทศคลี่คลายก่อน
นายอรรถวิชญ์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยรายได้จากการขายโทรศัพท์มือถือในช่วงเดือนมีนาคมลดลงจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 30% แต่บริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถทำรายได้ตามเป้าหมายเดิมที่ 1.5 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เข้ามาค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทประมาณ 86% มาจากยอดขายโทรศัพท์มือถือ ขณะที่บัตรเติมเงินและซิมการ์ดประมาณ 13.7%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายโทรศัพท์มือถือในปีนี้ทั้งระบบจะอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านเครื่องโดยบริษัทจะมียอดขายประมาณ 1.8 ล้านเครื่องจากปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 1.2 ล้านเครื่อง ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดปรับขึ้นจาก 19%ในปีที่ผ่านมาเป็น 26-27%
อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์มือถือแม้ว่าจะมียอดขายสูงแต่อัตรากำไรสุทธิถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีการแข่งขันทางด้านราคาขายสูงขึ้น โดยอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.16% ขณะที่ในปีนี้บริษัทคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรสุทธิในระดับที่สูงขึ้น
สำหรับเรื่องการขยายสาขา บริษัทตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มจาก 402 สาขาเป็น 450 สาขาภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท
|
|
|
|
|