จากตั๋วบี/อีปลอมกระดาษแผ่นเดียวหลายกอปปี้ที่เขียนข้อความว่า "ตั๋วแลกเงิน"
(BILL OF EXCHANGE) ของบริษัทปราณบุรี พร๊อพเพอร์ตี้ส์ ที่สุรพงษ์ ใจงาม
กรรมการผู้จัดการ เซ็นชื่อเป็นผู้รับรองการจ่ายเงินและสั่งจ่ายแบบ WITHOUT
RECOURSE ที่ไม่ต้องรับผิดชอบกรณีตั๋วเงินถูกปฏิเสธ กลายเป็นเรื่องไฟลามทุ่งที่ขยายไปถึงตลาดซื้อขายตั๋วแลกเงินที่กำลังสะพัดมูลค่าถึง
3-4 แสนล้านบาท
บางทีเศรษฐีหัวโบราณที่เคยแต่กินดอกเบี้ยเงินฝากประจำอาจจะสนใจแค่ผลตอบแทนดอกเบี้ยสูงๆ
โดยไม่เข้าใจว่า "ตั๋วบี/อีมหาภัย" นี้ คืออะไรแท้จริง จึงทำให้หละหลวมในการตรวจสอบและตกเป็นเหยื่ออันโอชะให้นิตยาและพวกพ้องหลอกเงินไปหมุนจำนวนถึง
266 ล้านบาท
"ตั๋วแลกเงิน" (BILL OF EXCHANGE) หรือเรียกว่า"ตั๋วบี/อี"
ทำหน้าที่คล้ายพันธบัตรตรงที่บริษัทผู้ออกตั๋วแลกเงินออกมาเพื่อระดมทุนเอาไปขยายกิจการ
ส่วนผู้ซื้อตั๋วแลกเงินนี้ก็คือนักลงทุนทั้งบุคคลธรรมดาและสถาบันลงทุน โดยมีคนกลางคือแบงก์พาณิชย์ที่จับคู่ระหว่างบริษัทเจ้าของตั๋วบี/อีกับลูกค้าผู้ซื้อ
ในขณะนี้ตลาดซื้อขายตั๋วบี/อีเป็นไปอย่างซื้อง่ายขายคล่อง เพราะบริษัทที่ต้องการใช้เงินทุนระยะสั้น
3-6 เดือนต่างนิยมช่องทางตั๋วบี/อีนี้ระดมทุนด้วย "สะดวกและต้นทุนต่ำ"
กว่าเสียดอกเบี้ยอัตราไพรม์เรทลูกค้าชั้นดีที่กู้จากแบงก์พาณิชย์ ขณะที่ลูกค้าผู้ซื้อตั๋วบี/อี
ก็พอใจกับผลตอบแทนที่ให้อัตราสูงกว่าฝากประจำแบงก์เล็กน้อย
แต่ใช่ว่าใครๆ จะออกตั๋วบี/อีได้ง่ายๆ เพราะความน่าเชื่อถือของกระดาษแผ่นเดียวนี้ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนค้ำประกันหรือรับผิดชอบ
ถ้าหากเป็นแบงก์พาณิชย์อาวัล ตั๋วบี/อี ประเภทนี้คนซื้อก็อุ่นใจเพราะแบงก์ต้องตรวจสอบฐานะกิจการและให้บริษัทเอาหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ซึ่งแบงก์ชาติถือว่าเป็นการปล่อยสินเชื่อรูปแบบหนึ่ง โดยผู้ออกตั๋วบี/อีเอาหลักทรัพย์มาค้ำประกันกับแบงก์
แบงก์จึงจะปล่อยเงินกู้ออกไป
หากเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มีชื่อเสียงดีมากต้องการออกตั๋วบี/อีเพื่อระดมทุนเหมือนสิบปีที่แล้วที่บริษัทไทยออยล์ทำ
บางทีสถาบันการเงินก็ไม่จำเป็นต้องอาวัล เพราะนักลงทุนก็จ้องจะซื้อเก็บไว้เป็นสินทรัพย์อยู่แล้ว
ตั๋วประเภทนี้แบงก์ชาติเสนอว่าอาจจะมีการจัดเครดิตเรตติ้งกำกับ
แต่ตั๋วบี/อีที่เสี่ยงที่สุดน่าจะเป็นตั๋วบี/อีประเภท "BACK TO BACK"
คือผู้ออกตั๋วและผู้ซื้อตั๋วเป็นทั้ง "เจ้าหนี้และลูกหนี้" เสร็จสรรพในคน
ๆ เดียว โดยทางเจ้าของบริษัทจะออกตั๋วบี/อี และผู้ที่จะเข้ามาซื้อตั๋วบี/อี
ก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท เจ้าของตั๋วนั่นเองเหมือนกรณีตั๋วบี/อี ของบริษัทปราณบุรี
พร๊อพเพอร์ตี้ส์ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะดอกเบี้ยงามเป็นพิเศษ
ตั๋วบี/อี สามารถซื้อขาย "เปลี่ยนมือ" ได้เหมือนใบหุ้นเพียงแต่สลักหลังตั๋ว
ซึ่งจะมีเงื่อนไขรับผิดชอบไว้ 2 กรณี คือ กรณีแรกมีคำว่า "RECOURSE"
แสดงว่าผู้ถือตั๋วคนสุดท้ายสามารถไล่เบี้ยทวงสิทธิ์เมื่อตั๋วถูกปฏิเสธการจ่าย
กรณีที่สอง "WITHOUT RECOURE" คือ ผู้ซื้อคนสุดท้ายต้องรับความเสี่ยงเองเพราะไล่เบี้ยกับใครไม่ได้เลย
ซึ่งปรากฏในตั๋วของปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้ส์
ผลตอบแทนที่ทุกฝ่ายแฮปปี้ก็คือ "ดอกเบี้ย" ฝ่ายเจ้าของตั๋วก็ได้ต้นทุนดอกเบี้ยต่ำแทนที่จะกู้แพงจากแบงก์หรือเพิ่มทุนก็ช้า
ส่วนฝ่ายผู้ซื้อตั๋วก็ชอบเพราะได้ดอกเบี้ยสูงกว่าฝากประจำ ขณะที่แบงก์พาณิชย์ที่อาวัลตั๋วในฐานะเจ้าหนี้จะได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้แก่เจ้าของตั๋ว
หรือแบงก์ได้ส่วนลดที่หักค่าบริการ 1% จากยอดหน้าตั๋วกำหนดไว้ นอกจากแบงก์อาจกินหลายต่อ
ถ้าหากตั๋วบี/อีน่าเชื่อถือและให้ผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยสูงน่าพอใจ แบงก์ก็อาจจะซื้อเก็บไว้เก็งกำไรเอง
แล้วถ้าขายต่อให้ลูกค้า แบงก์ก็จะได้ส่วนลดอีกด้วย
จึงไม่ต้องสงสัยว่า ในโลกการเงิน อิทธิพลของกระดาษแผ่นเดียวที่เขียนว่า
"ตั๋วบี/อี" จึงมีมากพอที่จะทำให้เศรษฐีผู้หลงคารมไพรเวทแบงเกอร์ผู้ชำนาญการอย่างนิตยา
วิรัชพันธุ์ ยิ่งกว่าญาติมิตรตนเอง ยอมเซ็นเช็คเป็นสิบ ๆ ล้านจ่ายซื้อตั๋วบี/อีปลอม
เพียงเพราะต้องมนต์ดอกเบี้ยงาม ๆ เท่านั้นเอง