ด้วยกลยุทธ์ง่าย ๆ "นิตยา วิรัชพันธุ์" สามารถฉ้อโกงแบงก์กรุงเทพมาได้เป็นเงินถึง
266 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เพียงแต่นิตยานั่งทำงานในส่วนที่ไม่ธรรมดา "ไพรเวทแบงกิ้ง"
เป็นธุรกิจที่เป็นหน้าเป็นตาของแบงก์กรุงเทพและเป็นการันตีแห่งความน่าเชื่อถือในตัวนิตยา
มาวันนี้นิตยาปิด "ธนาคารส่วนตัว" ของเธอพร้อมกับทำลายความน่าเชื่อถือของไพรเวทแบงกิ้งอย่างยับเยิน
นิตยาเป็นใคร เธอทำได้อย่างไร เงินหายไปไหน? ตั๋วบี/อีปลอมระบาดไปแค่ไหน?
อนาคตไพรเวทแบงกิ้งจะเป็นอย่างไร? และแบงก์กรุงเทพจะลอยตัวจากเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?
ไม่น่าเชื่อผู้หญิงตัวคนเดียวจะสั่นสะเทือนถนนสีลมได้ขนาดนี้!
นิตยา วิรัชพันธุ์ เป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่ง มีความสามารถ เธอทำงานอยู่ในสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศอย่างธนาคารกรุงเทพฯ
อยู่ในส่วนงานที่เป็นหน้าเป็นตาและทำรายได้มหาศาลให้กับแบงก์ นั่นคือ "ไพรเวทแบงกิ้ง"
อีกทั้งเป็นพนักงานที่ได้รับความยอมรับและไว้เนื้อเชื่อใจจากเจ้านาย เธอมีโอกาสที่จะเติบโตและไต่เต้าไปข้างหน้า
แต่เธอก็ย่อมมีข้อผิดพลาด
ความผิดพลาดประการเดียวของเธอคือ เข้าใจคำว่า "ไพรเวทแบงกิ้ง"
ผิดไป เธอเข้าใจไปว่า "ไพรเวทแบงกิ้ง" คือ "ธนาคารส่วนตัว"
ที่เป็น "ของเธอ" แต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ธนาคารส่วนตัวของ "ลูกค้า"!
ความครึกโครมของชื่อ "นิตยา วิรัชพันธุ์" เริ่มขึ้นเมื่อมีข่าวระแคะคายไปปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์
ว่ามีการโกงเกิดขึ้นในไพรเวทแบงกิ้งที่ธนาคารกรุงเทพฯ ต่อมารูป และชื่อของเธอได้รับการตีพิมพ์ล้อมกรอบในหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าเธอพ้นการเป็นพนักงานของธนาคารตั้งแต่วันที่
13 ธันวาคม 2538 ต่อมาไม่กี่วัน เธอก็ถูกจับกุมโดยกองงาน 2 กองบังคับการสืบสวนคดีเศรษฐกิจ
(สศก.)
นิตยา วิรัชพันธุ์ ในฐานะอดีตพนักงานลูกค้าอาวุโสฝ่ายผู้ชำนาญการ สายงานธนบดีธนกิจ
(ไพรเวทแบงกิ้ง) ถูกจับเพราะฉ้อโกงลูกค้าไปไม่ต่ำกว่า 17 ราย โดยหลอกให้ลงทุนซื้อตั๋วบี/อีปลอม
และได้เงินไปหมุนนอกระบบไม่ต่ำกว่า 266 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายใน 17 รายนี้มีรายใหญ่
2 รายที่เสียหายมูลค่าเกินกว่า 50-80 ล้านบาท
คดีนี้ก็เหมือนคดีฉ้อโกงธรรมดา แบงก์กรุงเทพก็แจ้งจับนิตยาในข้อหา "ปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์อันเป็นตั๋วแลกเงินปลอม"
เท่านั้น แต่เผอิญนิตยาทำงานอยู่ในส่วนไพรเวทแบงกิ้ง ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ธรรมดา
อีกทั้งตัวเอกและตัวประกอบของเรื่องนี้แต่ละท่านก็ล้วน "บิ๊ก ๆ"
ทั้งนั้นนับแต่คนถูกโกงที่เป็นบุคคลในสังคมชั้นสูง แบงก์กรุงเทพที่เป็นผู้ริเริ่มไพรเวทแบงกิ้งเป็นรายแรก
กับผลกระทบที่เกิดจากความหละหลวมในการตรวจสอบระบบไพรเวทแบงกิ้ง ที่ทำให้คนรวยบางคน
"หนาว" ถึงกับสั่งแบงก์คอยรายงานพอร์ตลงทุนของตัวเองเป็นระยะเมื่อเกิดคดีฉ้อโกงด้วยตั๋วปลอมดังกล่าว
จับนิตยาเพียงคนเดียว แต่สั่นสะเทือนไปทั่วถนนสีลม!
ไพรเวทแบงกิ้งจากจินดาถึงนิตยา
บรรดาเศรษฐีเงินล้าน คหบดีมีอายุ คุณหญิง คุณนาย และนักธุรกิจชั้นสูงที่ร่ำรวยนับพันรายเหล่านี้ต่างก็เป็น
"ลูกค้าเกียรติยศ" ของสายงานธนบดีธนกิจซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 20 แบงก์กรุงเทพ
ซึ่งเป็นแบงก์ชั้นนำแห่งแรกที่ริเริ่ม โดยมีจินดา จรุงเจริญเวชช์ หรือ "พี่เตี้ย"
ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่เป็นหัวเรือใหญ่สร้าง PROOFIT CENTER นี้ขึ้นมา
บนชั้น 20 ของแบงก์กรุงเทพ ที่ปูพรมหนานุ่มก้าวแรกที่ย่างเท้าออกจากลิฟท์ก็จะมียามต้อนรับอย่างสุภาพอ่อนน้อมและพาไปพบเจ้าหน้าที่ธนบดีธนกิจ
ซึ่งหน้าตาสะสวยและบุคลิกดูมีระดับ ภายใต้บรรยากาศอันหรูหราของสถานที่อันทรงเกียรติ
"ลูกค้าคือบุคคลสำคัญสำหรับเรา เราขอยกย่องคุณเป็นบุคคลเกียรติยศของธนาคาร
ขอเสนอบริการธนบดีธนกิจ (ไพรเวทแบงกิ้ง) เพื่อคุณ" สโลแกนอันชวนฝันของธนาคารที่เขียนไว้ในโบชัวร์บอกว่าอย่างนั้น
ยังจำได้ว่าเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่สายงานธนบดีธนกิจ บนชั้น 20 ของแบงก์กรุงเทพที่ลงทุนตกแต่งเกือบสิบล้านนั้นสุดหรู
เป็นความภูมิอกภูมิใจของผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ จินดา จรุงเจริญเวชช์อย่างมาก
ๆ ภาพพจน์เป็นผู้หญิงเก่งระดับไฮโซที่ฉับไวในการสนองตองความต้องการของตลาดคนรวยรายได้ถึงกึ๋น
ประวัติจินดา จรุงเจริญเวชช์หรือที่สังคมไฮโซและเพื่อนร่วมงานที่แบงก์เรียกอย่าง
เป็นกันเองว่า "พี่เตี้ย" เป็นศิษย์เก่าคณะพณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาฯ ทำงานกับแบงก์กรุงเทพมานานร่วม 40 ปี รักการปลูกต้นไม้ใบหญ้า เป็นเจ้าของรีสอร์ท
"แม่สาวัลเล่ย์" ที่จังหวัดเชียงใหม่
ตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อปี 2531 จินดาประสบผลสำเร็จในการประยุกต์คอนเซปท์ไพรเวท์แบงกิ้งที่สถาบันการเงินเฉพาะอันเก่าแก่
และมีชื่อเสียงชั้นนำของโลกทำมานานมาใช้ เช่น ROYAL TRUST PIEROSN HIELDING
LANDER BANK และ REPUBLIC NATIONAL BANK OF NEW YORK แม้กระทั่งแบงก์ชั้นนำที่มีเครือข่ายทั่วโลกอย่างซิตี้แบงก์
เชสแมนฮัตตันแบงก์และฮ่องกงแบงก์ก็มีธนบดีธนกิจนี้ด้วย
โครงสร้างสายงานธนบดีธนกิจที่จะบริการลูกค้าระดับวีไอพี จะแบ่งเป็นสองฝ่าย
คือฝ่ายบริหาร และฝ่ายผู้ชำนาญการ ซึ่งนิตยาก็อยู่ในฝ่ายนี้ทำหน้าที่การตลาดสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างดี
แล้วใช้ปากต่อปากดึงลูกค้าในแวดวงไฮโซผู้ร่ำรวยเข้ามา
บริการระดับ HYPER SERVICE ของไพรเวทแบงกิ้งในหลายบทบาท เป็นทั้งที่ปรึกษาบริหารการเงิน
(FIANACIAL SERVICES) และเรื่องส่วนตัว (NON-FINANCIAL SERVICES) ให้อย่างจุใจที่เรียกว่า
"เบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว" (ONE STOP SERVICE) ไม่ว่าจะเปิดบัญชีเงินฝาก
ฝาก-ถอน-โอนเงินให้ลูกหลานหรือญาติมิตรในต่างประเทศ ที่ปรึกษาซื้อขายหุ้น-หน่วยลงทุนหรือเงินตราต่างประเทศ
ที่ปรึกษาการลงทุนตั้งบริษัทหรือร่วมลงทุน
หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นฝากลูกเรียนในโรงเรียนดัง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ซึ้อขายอัญมณีเครื่องประดับที่บ่อยครั้งจะมีการจัดนิทรรศการแสดงเครื่องเพชรบนชั้น
20 ของแบงก์กรุงเทพ หรือถ้าลูกค้าจะให้จองตั๋วฟุตบอลโลกหรือฟังดนตรีที่ซัลบอร์ก
ประเทศออสเตรีย เจ้าหน้าที่ไพรเวทแบงกิ้งก็จะสรรหาความพอใจมาสนองตอบให้อย่างเต็มที่
ยกเว้นขอดาวกับเดือนเท่านั้น
เงื่อนไขประการเดียวที่ไพรเวทแบงก์กิ้งต้องการก็คือ คนๆ นั้นจะต้องมีบัญชีเงินฝากไม่ต่ำกว่า
10 ล้านบาทขึ้นไป หรืออาจวัดความมั่งคั่งจากขนาดสินทรัพย์นับร้อยล้านโดยเงินฝากไม่ถึงก็ได้
เพียง 8 ปี สายธนบดีธนกิจของจินดาก็สามารถระดมเงินฝากได้ถึง 10,200 ล้านบาทจากฐานลูกค้ากว่า
1,100 ราย ซึ่ง 90% เป็นกลุ่มเศรษฐีไทยที่มีเงินฝาก 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วน
10% เป็นลูกค้าชาวต่างประเทศ แบงก์กรุงเทพได้รายได้ค่าธรรมเนียมจากไพรเวทแบงกิ้งในปีที่แล้วถึง
205 ล้านบาท และตั้งเป้าโตปีละ 10%
นิตยา วัชรพันธุ์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพนักงานดีเด่นคนหนึ่งที่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ไพรเวทแบงกิ้งวางไว้คือ
หาเงินฝากจนได้รับรางวัล ทำให้มีลูกค้าระดับเศรษฐีในพอร์ตที่ไว้วางใจให้นิตยาดูแลไม่ต่ำกว่า
40-50 ราย
นิตยาทำงานกับแบงก์กรุงเทพมานานเกือบ 30 ปี เคยเป็นลูกน้องจินดา ขณะอยู่ส่วนโอนเงินต่างประเทศก่อนย้ายมาทำที่ไพรเวทแบงกิ้งตั้งแต่เริ่มแรก
ตามคำชวนของ "พี่เตี้ย" หรือจินดา จรุงเจริญเวชช์
ขณะที่คนอย่างจินดามีชาติตระกูลดีและร่ำรวยมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับนิตยา
คนที่พยายามถีบตัวเองเข้าสังคมไฮโซเป็นคนที่ทะเยอทะยานอย่างยิ่ง
นิตยาเป็นชาวจันทบุรี นามสกุลเดิม "องค์เจริญ" มีน้องสาวชื่อ
"ศศิธร ภูมิจิตร" หรือ "หน่อย" ซึ่งทำงานที่ธนบดีธนกิจและสมรสกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่กองตรวจคนเข้าเมือง
ชีวิตส่วนตัวของนิตยาเคยสมรสกับณัฐนาท วิรัชพันธุ์ ทายาทร้านขายเครื่องหมายเก่าแก่ย่านเสาชิงช้า
"สุภาพรรณ" มีบุตรด้วยกัน 4 คนเป็นชาย 1 หญิง 3 สามคนแรกทำงานแล้ว
ส่วนคนเล็กยังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ต่อมาเมื่อ 6 ปีที่แล้ว นิตยาขณะอายุได้ 45 ได้หย่าร้างแยกกันอยู่กับสามีและได้รู้จักกับสุรพงษ์
ใจงาม หรือ "เสี่ยปุ้ม" นักธุรกิจหนุ่มที่อายุน้อยกว่านิตยาประมาณ
3 ปี ในงานเลี้ยงแขก วี.ไอ.พี. ของแบงก์กรุงเทพที่โรงแรมแห่งหนึ่ง จากวันนั้นสุรพงษ์ยึดหม้ายไฮโซ
นิตยาไว้ประดุจเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ในฐานะลูกค้าแบงก์กรุงเทพและเพื่อนผู้รู้ใจทุกอย่าง
นิตยาเคยเล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่าสุรพงษ์และตนเองมี "องค์เทพ"
ที่ประทับในร่างคู่กันมาแต่ชาติปางก่อนความเชื่อของนิตยาในเรื่องลี้ลับนี้ประจักษ์ชัดเมื่อครั้งหนึ่งคราวเกิดคดีอื้อฉาวของพระยันตระ
นิตยาซึ่งเป็นหนึ่งในสานุศิษย์ถึงกับพาเลขานุการของพระยันตระมายืนยันความบริสุทธิ์กับเพื่อนพ้องสายงานธนบดีธนกิจ
บนชั้น 20 ของแบงก์กรุงเทพทีเดียว
ความทะเยอทะยานของนิตยาที่มีปมจากสาวบ้านนอกที่แวดล้อมด้วยลูกท่านหลานเธอที่ถูกทาบทามเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่สายงานธนบดีธุรกิจ
เป็นจุดหนึ่งของการก่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยนิตยาหมุนเงินจากลูกค้าไพรเวทแบงกิ้งบางส่วนไปเป็น
"ธนาคารส่วนตัว" สร้างภาพเข้าวงสังคมชั้นสูง ซื้อรถเบนซ์คันหรูหราขับมาทำงาน
เมื่อมีใครถาม นิตยาก็อ้างว่าเป็นเงินมรดกมารดาสามี
โดยไม่มีใครระแคะระคายที่มาของความร่ำรวยผิดปกติของนิตยาเลย
กลวิธีง่าย ๆ แต่สุดยอดความไว้ใจ
กระบวนการหมุนเงินนอกระบบของนิตยาที่ได้รับฉายา "เจ้าแม่ตั๋วบี/อี
มหาภัย" เป็นไปในลักษณะมุ้งเล็กในมุ้งใหญ่ โดยอาศัยเวทเมนต์ของไพรเวทแบงเกอร์มืออาชีพ
ที่ฉลาดพูดจาน่าเชื่อถือไว้วางใจว่าจะสร้างผลตอบแทนจุใจแก่ลูกค้า
วิธีการของนิตยามีหลักการที่ง่ายมากคือเมื่อนิตยาเสนอให้ลูกค้าซื้อ "ตั๋วบี/อี"
เพราะอ้างว่าให้ผลตอบแทนสูงมากทุกเดือน ตั๋วแลกเงินดังกล่าวเป็นที่เข้าใจว่ามีแบงก์กรุงเทพการันตี
แต่ปรากฏว่าเอกสารรับเงินชิ้นนั้น "ปลอม" เงินที่ลูกค้าฝากจะไม่ถึงมือแบงก์
แต่เข้าบัญชีส่วนตัวของนิตยาหรือผู้เกี่ยวข้องทันที
กลวิธีง่ายมาก ถ้าไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและความเป็นพนักงาน "ไพรเวทแบงกิ้ง"
แทบจะทำไม่ได้เลย!
ขั้นแรก-นิตยาจะเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าเงินเย็น ที่มีบัญชีและหลักทรัพย์โฉนดที่ดินเก็บนอนนิ่งไว้ในตู้เซฟ
ได้แก่คหบดีหรือข้าราชการชั้นสูงที่ปลดเกษียณแล้ว หรือคุณหญิงคุณนาย ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันสูงและเรียกใช้เฉพาะนิตยาได้ทุกเมื่อ
เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์ปั๊บ นิตยา ไปบริการถึงที่ปุ๊บและอ้างอำนาจทำการแทนแบงก์บริการลูกค้านอกสถานที่ประหนึ่ง
"ธนาคารส่วนตัว" ของนิตยาที่บริการ ฝาก-ถอน-โอนเงิน โดยใช้รหัสที่ให้ลูกค้าโอนเงินเป็น
PB (PRIVATE BANKING) ตามด้วยหมายเลข
ขั้นที่สอง-นิตยาในฐานะผู้ชำนาญการของไพรเวทแบงกิ้ง ได้เลือกปลอมสินค้าล่อในคือตราสารการเงินระยะสั้นอย่างตั๋วแลกเงิน
(ตั๋วบี/อี) ที่ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาบูมมาก ๆ เพราะง่ายต่อการออกตั๋วซึ่งถือว่าเป็นการปล่อยสินเชื่อที่แบงก์ชาติไม่ได้เข้ามายุ่ง
ที่สำคัญคือจูงใจลูกค้าด้วยผลตอบแทนสูงกว่าฝากประจำ อัตราดอกเบี้ยประมาณ
15-18%
ในกรณีที่ตั๋วปลอมเป็นชื่อบริษัทอื่นนิตยาก็เอาต้นฉบับจริงมาแต่งเติมเพิ่มจำนวนเงินจาก
1 ล้านเป็น 10 ล้านแล้วนำไปถ่ายเอกสารประทับตราธนาคารลงไปและเซ็นชื่อของตนเองในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสลงไปกำกับ
แล้วนำไปหลอกขายลูกค้า หากลูกค้าถามถึงต้นฉบับจริงก็หลอกว่าแบงก์จะให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษถ้าเก็บไว้กับแบงก์
ขั้นที่สาม-หลังจากนั้นเหยื่อที่เป็นลูกค้าเป้าหมายหลงเชื่อและเซ็นเช็คสั่งจ่าย
PB 04459 P.B.07741 ซึ่งเหยื่อจะไม่ทราบและเข้าใจว่าเป็นรหัสของไพรเวทแบงกิ้งจากนั้นนิตยาและพวกจะออกหนังสือรับฝากตั๋วแลกเงินปลอมให้ลูกค้าถือไว้
การโกงนี้ถ้าถูกจับได้ นิตยาจะอ้างว่าโอนเงินผิดแล้วรีบหมุนเงินมาใช้คืนทันที
รหัส PB 04459 P.B.07741 กับชื่อ "สุรพงษ์ ใจงาม" มาจากไหน?
เงินส่วนใหญ่ที่นิตยานำมาจากลูกค้าส่วนใหญ่จะไปปล่อยกู้ให้กับ "โครงการปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้"
ที่มีสุรพงษ์ ใจงามเป็นเจ้าของในนามบริษัทปราณบุรี พรอพเพอร์ตี้ส จำกัด
นิตยาจึงเปรียบเสมือนธนาคารส่วนตัวหรือแหล่งระดมทุนต้นทุนต่ำให้แก่บริษัท
ปราณบุรี พร็อพเพอร์ตี้ส์ อย่างสบายๆ
หากลูกค้าคนใดอยากดูโครงการที่กู้เงินของตนไป หรือลูกค้าคนใดไม่ค่อยเชื่อใจ
นิตยากับสุรพงษ์ก็จะพาล่องเรือยอร์ชไปชมโครงการที่ดำเนินการก่อสร้างอยู่ที่ปราณบุรี
รวมทั้งทั้งคู่ได้อ้างอิงถึงตัวบุคคลในวงสังคมชั้นสูงที่ลูกค้าเชื่อถือด้วย
นิตยา และสุรพงษ์เล็งเจาะเฉพาะคนที่คิดว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองได้ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงกับชมรมมูลนิธิอนุรักษ์
และพัฒนาอากาศยานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ที่มี น.อ. (พิเศษ) วีระยุทธ์
ดิษยะศรินเป็นประธาน เนื่องจากภายในโครงการมีสนามบินขนาดเล็กอยู่ด้วย
หรือเมื่อคราวชาตรี โสภณพานิชนำเรือยอท์ยาว 40 ฟุตมาจอดซ่อมที่ปราณบุรี
ที่อู่ต่อเรือซิลค์ไลน์ของพลเรือโทบริสุทธิ์ จันทโนทัย สุรพงษ์และนิตยาก็ได้เชื้อเชิญให้ชาตรีล่องเรือเร็วชมทัศนียภาพของโครงการปราณบุรีซิตี้มารีน่า
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้ส์ทั้งหมดด้วย ซึ่งชาตรีก็ย่อมอยากจะมาชมเพราะที่ดินบางแปลงของโครงการจำนองไว้กับแบงก์มูลค่า
280 ล้านบาท
ขณะเดียวกันวิโรจน์ นวลแข ที่กำลังขมักขะเม้นกับโครงการ "ภัทรมารีน่ายอท์ชคลับ"
ที่ปากน้ำปราณบุรี ก็เคยร่วมโต๊ะสนทนากินข้าวกับสุรพงษ์ฉันท์เพื่อนบ้านเรือนเคียง
อีกทั้งสุรพงษ์ก็จำนองที่ดินบางส่วนกับภัทรธนกิจในมูลค่า 45 ล้านบาทด้วย
ปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้ พยุงไว้ด้วยเงินจากนิตยา
จากความคืบหน้าของโครงการปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้ซึ่งเป็นที่ผ่องถ่ายเงินจากนิตยา
เชื่อกันว่าวงจร "ธนาคารส่วนตัว" ของนิตยาและพวกดูดเงินจากไพรเวทแบงกิ้งมานานไม่ต่ำกว่า
5 ปี แม้ว่าส่วนหนี้ที่โผล่เป็นข่าวจะมี 266 ล้านบาท แต่คนวงในอ้างว่าอาจสูงถึง
500 ล้านบาท !
หลายคนไม่เชื่อว่า นิตยาจะกระทำเรื่องทั้งหมดโดยลำพัง โดยปราศจากการร่วมมือจากคนในแบงก์ด้วยกัน
บางคนสงสัย ว่าจะมีเครือข่ายแอบแฝงในแบงก์กรุงเทพจัดตั้งเป็นกระบวนการแชร์ลูกโซ่อย่างเป็นระบบ
โดยอาศัยสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้จัดการสาขาแบงก์ที่รู้ข้อมูลบัญชีของเศรษฐีที่มีเงินฝากระดับสิบล้านขึ้นไปจัดหาลูกค้าป้อนนิตยา
ซึ่งจะตอบแทนด้วยรายได้คอมมิชชั่นเป็นล้านหรรือกินเปอร์เซนต์
หรือบ่อยครั้งในปีที่ผ่านมา ที่นิตยากับสุรพงษ์บินด้วยชั้นเฟิร์สคลาสไปสร้างสัมพันธ์แนบแน่นกับเศรษฐีไทยในอเมริกา
และซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยใช้เครดิตเพื่อนเศรษฐีจ่ายไปก่อน แล้วตนเองจะโอนเงินจ่ายให้ภายหลัง
โดยอ้างว่าเพื่อจะได้ส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนอันงดงาม
ปีที่ผ่าน ๆ มานิตยาเป็นกำลังหลักการบริหารการเงินเข้า-ออกของโครงการปราณบุรี
พร๊อพเพอร์ตี้ส์ ซึ่งเนรมิตขึ้นบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ซึ่งแต่เดิมเป็นนากุ้งที่ชาวบ้านไม่คิดว่าจะขายได้
แต่สุรพงษ์ได้บินสำรวจถ่ายภาพกลางอากาศและเห็นว่าภูมิทัศน์นี้งดงามที่จะทำ
"ปราณบุรี ซีตี้มารีน่า" ได้อย่างเหมาะสม จึงได้เริ่มยุทธการกว้านซื้อที่ดินราคาถูกแต่มาปั่นราคาให้จดจำนองแพงขึ้น
โดยผ่านกลไกประเมินราคาของพนักงานสินเชื่อแบงก์และสำนักงานที่ดินที่เป็นพวกเดียวกัน
"นิตยาจะเซ็นเช็คไว้เป็นเล่ม และให้สุรพงษ์กรอกจำนวนเงินเพื่อเอาไปใช้มัดจำที่ดิน
หรือหมุนเวียนในการก่อสร้างหรือซื้อของเอาไว้" คนใกล้ชิดนิตยาเล่าให้ฟัง
แต่ระบบแชร์เจ้าแม่ตั๋วบี/อีปลอมก็ไม่สามารถพยุงฐานะกิจการที่เต็มไปด้วยภาระหนี้สินมหาศาลที่ครบกำหนดจ่ายได้ทันการ
เพราะนิตยาเจอปัญหารุมเร้าจากปัญหาความหวาดระแวงของลูกค้าตั๋วบี/อี ปลอม
ขณะเดียวกันตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นมูลค่า 3 ล้านบาทที่สุรพงษ์ไปทำไว้กับภัทรธนกิจก็เริ่มถึงกำหนดชำระเงินกู้คืน
เหตุนี้เองทำให้ปลายปีที่แล้วนิตยาจึงเจอปัญหาหมุนเงินไม่ทัน
หากจะดูลำดับภาระหนี้สินที่บริษัทปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้กู้ยืมจากสถาบันการเงินหลายแห่งนั้น
จนนิตยาไม่สามารถหมุนเงินได้ทันนั้น มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 375 ล้านบาท
ลำดับภาระหนี้จากเฟสที่ 1 -เนื้อที่ ประมาณ 200 ไร่ ซึ่งยังไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของโครงการ
100 ไร่มูลค่า 75 ล้านบาท แต่โซน 2 ของที่ดิน 40 ไร่จดจำนองกับภัทรธนกิจได้เงินกู้มา
55 ล้านบาท ส่วนโซน 3 อยู่ในลักษณะโอนที่ดินให้คนอื่น 28 ไร่มูลค่า 20 ล้านบาท
"การจำนองที่ดินแปลงโฉนดที่ 11697-98 ดังกล่าวเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจำนองที่ลงวันที่
12 มกราคม 2538 ทั้งนี้บริษัทปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้ส์ได้มีการขอเพิ่มวงเงินที่ได้จดจำนองไว้อีกจำนวน
45 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มเงินครั้งที่ 1 และเมื่อคิดเป็นเงินที่จำนองเป็นประกันจะมีมูลค่าทั้งหมด
55 ล้านบาท" แหล่งข่าวในภัทรธนกิจกล่าว
ภาระหนี้ในเฟสที่ 2-เนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ แป็นที่ดินที่ยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์โครงการ
80 ไร่มูลค่า 85 ล้านบาท กับที่ดินอยู่ในลักษณะการโอนที่ดินให้ผู้อื่น 170
ไร่มูลค่า 35 ล้านบาท
ภาระหนี้เฟสที่ 3-เนื้อที่ประมาณ 180 ไร่ มีภาระหนี้ในที่ดินที่ยังไม่ได้โอนจำนวน
30 ไร่มูลค่า 30 ล้านบาท
ภาระหนี้เฟสที่ 4-เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ติดจำนองประกันเงินกู้จากภัทรธนกิจจำนวน
50 ล้านบาท และอยู่ในลักษณะโอนที่ดินให้ผู้อื่นมูลค่า 25 ล้านบาท
นอกจากนี้ปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้ส์ยังมีภาระหนี้สินที่กู้ยืมจากแบงก์กรุงเทพอีก
280 ล้านบาทซึ่งกำหนดชำระคืนทั้งหมดในปี 2539 นี้ไม่รวมถึงหนี้ส่วนตัวที่กรรมการผู้จัดการอย่างสุรพงษ์ก่อไว้อีก
35 ล้านบาท
นิตยาคงฝันหวานตามแผนการดำเนินงานของโครงการที่สุรพงษ์คาดว่ารายได้จากการขายบ้านและที่ดินในโครงการประมาณ
300 ล้านบาทนั้นจะไหลเข้ามาช่วยได้ภายในเดือนมิถุนายน 2539 และอีกประมาณ
300 ล้านบาทจะเข้ามาภายในเดือนธันวาคมปีนี้
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่วาดหวังไว้ต้องพลอยล่มสลาย เมื่อนิตยาถูกจับ ไม่มีแผนอื่นรองรับโครงการปราณบุรีพร๊อพเพอร์ตี้อีกต่อไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงด้วยเงินหมุนที่มาจากผู้หญิงคนเดียวที่ชื่อว่า "นิตยา
วิรัชพันธุ์"
จุดจบของนิตยา วันปิดฉาก "ธนาคารส่วนตัว"
วันที่เกิดเหตุ 12 ธันวาคม 2538 จีรจิตต์ จำรัสโรมรัน ซึ่งเป็นลูกค้าในพอร์ตของนิตยา
ได้ส่งโทรสารขอภาพถ่ายตั๋วแลกเงินเลขที่ 027500 จำนวนเงิน 10 ล้าน ออกโดยบริษัท
เอส. พี. อินเตอร์เนชั่นแนล ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2538 เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของตั๋วแลกเงิน
เพราะได้รับการบ่ายเบี่ยงจากนิตยาตลอด เมื่อจีรจิตต์ติดต่อขอขายตั๋วแลกเงินดังกล่าว
"ตลอดสองปีคุณริช (ชื่อเล่นจีรจิตต์) จะได้รับดอกเบี้ยมาตลอดตามกำหนด
แต่ระยะหลังคุณริชต้องการเงินก้อนเอาไปใช้ จึงจะเอาตั๋วบี/อีปลอมนั้นมาขึ้นเงินที่แบงก์
เรื่องก็เลยแดงขึ้นมา" แหล่งข่าวกล่าว
จากจุดผิดสังเกตนี้เองที่กลายเป็นคราวซวยของนิตยา จีรจิตต์โทรมาขอขึ้นเงินวันนั้นนิตยาไม่อยู่
จินดาเป็นคนรับเรื่องเอง จึงรู้ว่าเป็นตั๋วปลอม โดยฉบับแท้จริงมีเงินเพียง
1 ล้านและแบงก์ได้ขายลดตั๋วนี้ไปแล้วกับลูกค้าที่ชื่อจรันจรัส ทัพพยุทธพิจารย์แล้ว
"ถ้าไม่มีเรื่องนี้แดงขึ้นมา เราก็ตรวจไม่เจอ เพราะเงินไม่เคยเข้าแบงก์เลย
ถ้าหากว่าเงินเข้าแบงก์แล้ว นิตยาชักออกไปก็จะเจอ ปกติเราก็มีการตรวจสอบอยู่แล้วที่เขาทำได้นี้
เขาใช้ความสามารถส่วนตัวและเท่าที่เราดูพอถึงครบกำหนด เขาก็หาเงินให้เอาเงินไปจ่ายดอกเบี้ย
อย่างนี้เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย" จินดา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายธนบดีธนกิจกล่าว
เรื่องนี้จบลงที่จีรจิตต์ได้รับการชดใช้เต็มจำนวนจากแบงก์กรุงเทพที่สามารถไล่เบี้ยกับนิตยาให้เอาเงินมาคืนจีรจิตต์ได้ครบ
10 ล้าน ซึ่งจีรจิตต์บอกว่าเรื่องได้เงินคืนนี้ถือเป็นเทคนิคเฉพาะตัว
"จริง ๆ แล้วดิฉันก็มีวิธีการของตัวเองที่จะไปเรียกร้องเงินคืนและมีทนายเก่งเรื่องก็เลยง่าย
ปัญหาที่เกิดขึ้นเชื่อว่าคุณนิตหมุนเงินไม่ทัน ถ้าเรื่องไม่แดงเสียก่อนเธอคงเอาเงินมาใช้ให้
แต่บางครั้งลูกค้าเองก็ไม่รอบคอบด้วย ไม่ได้ไปทำสัญญาที่แบงก์ เพราะเชื่อใจและคุ้นเคยกับคุณนิตมากเกินไป
ส่วนตัวดิฉันเองนั้นไม่ได้จะฟ้องร้องคุณนิต แต่ให้เวลาไประยะหนึ่งจนเธอเคลียร์ปัญหาและหาเงินมาใช้ให้จนครบ
ส่วนลูกค้ารายอื่น ๆ คงต้องรอเวลาแบงก์คงต้องหาทางออกให้ได้ ดิฉันเชื่ออย่างนั้น
จีรจิตต์ จำรัสโรมรัน นักธุรกิจหญิงวัย 50 ที่มีสามีเป็นนายพลตำรวจเล่าให้ฟังอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ในวันรุ่งขึ้นแบงก์กรุงเทพก็แจ้งความกับ สศก. แต่นิตยาหลบลี้ภัยไม่มาทำงานอีกเลย
จนกระทั่งแบงก์ต้องประกาศให้สินบนนำจับ 3 แสนบาทและประกาศให้นิตยาพ้นสภาพพนักงาน
ในที่สุดก็วางแผนจับตัวนิตยาได้ที่โรงแรมวงศ์อมาตย์พัทยา ขณะที่อยู่ห้องพักเดียวกับสุรพงษ์
ใจงามผู้อยู่เบื้องหลังนิตยา
"ธนาคารส่วนตัว" ของนิตยา วิรัชพันธุ์ปิดฉากลงในวันนั้นอย่างเป็นทางการ